ก่อนเยือนป้อมปราการ แอนฟิลด์
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ทีแรกดูเหมือนเข้าอีหรอบเดิมหลังจากเปิดฤดูกาลด้วยผลงานอันน่าผิดหวังโดยเฉพาะการเล่นในรังที่โดนทีมจากลอนดอนบุกมาเก็บแต้มเป็นว่าเล่น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ที่บุกถล่มถึง โอลด์ แทรฟฟอร์ด 6-1
แต่ใครจะคิดว่าผลงานที่ลุ่มๆ ดอนๆ ของ ปิศาจแดง จะเจอจุดเปลี่ยนหลังจากแพ้ อาร์เซน่อล เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพราะ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา พาลูกทีมเก็บได้ 29 จาก 33 แต้มพร้อมขึ้นนำเป็นจ่าฝูงในตอนนี้
ผิดกับ ลิเวอร์พูล ที่เริ่มต้นสมราคาฐานะแชมป์เก่าในการรักษาหัวตารางได้อย่างเหนียวแน่นและต่อเนื่อง กระนั้นด้วยปัญหาแนวรับที่เจออาการเจ็บแบบไม่ได้นัดหมาย ส่งผลให้ผลงานของพวกเราค่อยๆ มีปัญหา และทำแต้มหล่นเป็นว่าเล่น
กระนั้น การศึกที่ แอนฟิลด์ วันอาทิตย์นี้ ผลงานที่ผ่านมาจะถูกกองไว้ข้างๆ เพราะการตัดสินจะเกิดขึ้นในช่วง 90 นาทีของเกมการแข่งขัน และที่ผ่านมามีบทพิสูจน์มานักต่อนักแล้วว่าการดวลกันของทั้งสองทีมแทบไม่เกี่ยวกับผลงานในช่วงเวลานั้นๆ เลย ไม่ว่าใครจะทำได้ดีกว่าหรือกำลังครองความยิ่งใหญ่ของลีก แต่เมื่อมาถึงช่วงเวลาของการเจอกันระหว่างตัวแทนจาก แมนคูเนี่ยน และ สเกาเซอร์ แฟนบอลเตรียมรอพบความมันในสนามได้เลย
เกมนี้คงไม่ต่างกัน และยิ่งอันดับในตารางออกมาเช่นนี้ รวมไปถึงแฟนบอลที่กำลังบลัฟกันไปมา ยิ่งทำให้อารมณ์ร่วมของเกมทวีความมันมากกว่าเดิม
โดยเฉพาะ ลิเวอร์พูล ที่ต้องการหยุดความร้อนแรงของอริไม่เผาผีจากแมนเชสเตอร์ที่กำลังทำผลงานนอกรังได้ยอดเยี่ยม ซึ่งผลงานดังกล่าวลากยาวมาตั้งแต่ฤดูกาลที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้
สถิตินอกบ้านของ ผีแดง ถือว่าทำได้อย่างน่าดูชมพวกเขาไล่เก็บคะแนนเป็นว่าเล่น และนั่นคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ โซลชา และลูกทีมไต่อันดับมาอยู่บนจุดสูงสุดของตารางในเวลานี้
อย่างไรก็ตาม ทีมสุดท้ายที่เอาชนะพวกเขาในการออกไปเยือนคือ ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ นี่แหละ และมันประจวบเหมาะอย่างมากที่เกมดังกล่าวกำลังจะดำเนินมาครบหนึ่งปี (เจอกันที่ แอนฟิลด์ หนล่าสุด 19 มกราคม 2020)
แน่นอนว่าการบุกเยือน แอนฟิลด์ หนนี้ของ ปิศาจแดง นอกจากการเล็ง 3 คะแนนแล้วพวกเขามองไปที่การยืดสถิติไม่แพ้นอกบ้านให้ครบ 1 ปี และหากสมมติว่าพวกเขาเกิดบุกคว้าชัยได้จริงๆ ก็จะเป็นการหยุดสถิติอันยอดเยี่ยมในรังของ ลิเวอร์พูล อีกด้วย
ย้อนกลับไปตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2017 หรือความพ่ายแพ้ คริสตัล พาเลซ คารังด้วยสกอร์ 1-2 นับจากนั้น หงส์แดง ภายใต้การนำของ 'เจเค' ไม่แพ้เกมลีกใน แอนฟิลด์ อีกเลยมาจนถึงปัจจุบัน หรือคิดเป็น 67 เกมติดต่อกันแล้ว (ชนะ 55 เสมอ 12)
ถือเป็นสถิติอันยอดเยี่ยมที่ทำให้ แอนฟิลด์ กลายเป็นป้อมปราการของ ลิเวอร์พูล ซึ่งที่ผ่านมาพวกเขาไล่ทุบทีมต่างๆ จนหนีกระเจิงออกมานักต่อนัก และนี่จะเป็นอีกบททดสอบสำคัญในฤดูกาลนี้ของ แมนฯ ยูไนเต็ด
ที่น่าสนใจไม่แพ้สถิติก่อนการแข่งขันคงหนีไม่พ้นการเดาใจ โซลชา ว่าจะจัดทีมลงสนามแบบไหน เนื่องจากที่ผ่านมากุนซือชาวนอร์เวย์ปรับเปลี่ยนระบบการเล่นให้ยืดหยุ่นกว่าที่ผ่านมา และมักจะใช้งานนักเตะตามความเหมาะซึ่งวิเคราะห์จากคู่แข่งในเกมนั้นๆ
ความเป็นไปได้มีหลายรูปแบบทั้งระบบดั้งเดิมอย่าง 4-2-3-1 ที่ใช้งานเป็นประจำตั้งแต่ โซลชา มารับงาน หรือการเล่นในระบบ 4-3-3 ที่ให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยืนสูงกว่ามิดฟิลด์ที่เหลืออีก 2 ราย
นอกจากนั้นยังมีระบบ 4-4-2 แบบ ไดมอนด์ ที่ โอเล่ งัดมาใช้งานในช่วงหลังซึ่งผลตอบรับถือว่าดีทีเดียว และสำคัญไปกว่านั้นคือผลงานในสนามที่ออกมาดีใช้ได้เลย
อีกหนึ่งเรื่องสำคัญคือการเลือกใช้งานแดนกลางที่จะดวลกับ ลิเวอร์พูล โดยที่ผ่านมา โซลชา ใช้งานแบบสลับสับเปลี่ยนตามความพร้อม (หลังจากก่อนหน้านี้ยึดคู่ เฟร็ด กับ สกอตต์ แม็คมิเนย์) แต่ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมในนัดที่ผ่านมาของ ปอล ป็อกบา และ เนมันย่า มาติช ก็อาจจะส่วนให้กุนซือผีแดงคิดหนักในเรื่องนี้
ยิ่งต้องดวลกับแผงมิดฟิลด์ของ หงส์แดง ที่ถือว่าอยูในระดับแนวหน้าของโลก นักเตะแต่ละคนสามารถปรับเข้ากับระบบของ 'เจเค' ได้ลงล็อก จุดแข็งของพวกเขาคือการครองบอลที่เหนียวแน่นอน การบีบพื้นที่ การผ่านบอลที่แม่นยำ และที่สำคัญยังสามารถเปลี่ยนการเล่นแบบฉับพลันได้อย่างรวดเร็ว
จุดนี้ โซลชา คงมองเห็นชัดเจนและมีความเป็นไปได้ที่อาจจะใช้งานมิดฟิลด์ตัวทำลายเกมที่มีความเร็วและความขยันในการต่อกรกับ หงส์แดง เพื่อสกัดการเดินเกม
ส่วนในแนวรับ แฟนบอลปิศาจแดงต่างยกมือเป็นเสียงเดียวกันว่า เอริค ไบยี่ สมควรลงสนามจับคู่กับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ เพราะผลงานที่ผ่านมาของกองหลังชาวไอวอรี่ โคสต์ ทำได้ยอดเยี่ยมจนเกมรับที่พลาดง่ายๆ ของทีมกลับมามีความมั่นคงมากกว่าเดิม
นี่คือสิ่งที่แฟนบอลพยายามเดาใจ โซลชา และอาจจะรวมไปถึง คล็อปป์ ที่ต้องหาทางรับมือกับแนวรุกของ ปิศาจแดง ในหลายๆ รูปแบบ ซึ่งที่ผ่านมาพวกเขามีเรื่องปวดมากพอแล้วกับการขาดหายไปของสองกองหลังตัวหลักทั้ง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ โต โกเมซ
แต่จุดเด่นของพวกเขาคือการเล่นเกมเพรสซิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ รวมไปถึงแนวรุกที่ยังคงอันตรายและไม่สามารถปล่อยให้มีอิสระได้แม้แต่เสี้ยววินาที นอกจากนั้นวิงแบ็กทั้งสองฝั่งก็ถือเป็นจุดเด่นของ หงส์แดง
เชื่อว่าทั้งสองทีมต่างรู้ไส้รู้พุงกันดี ทีมงานของแต่ละฝ่ายคงกำลังศึกษารายละเอียดอย่างหนักเพื่อหาทางรับมือและเล่นงานคู่แข่ง
จุดที่น่าสนใจของเกมนี้คือการยืนระยะและไม่สร้างข้อผิดพลาดง่ายๆ ให้เกิดขึ้น ที่สำคัญ ปิศาจแดง ต้องพยายามแสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาสามารถยกระดับทีมให้ดีกว่าที่ผ่านมาได้ และพร้อมเดินหน้าลงไปดวลกับ แชมป์เก่า
โดยเฉพาะการเล่นในรูปแบบ 'เพรสซิ่ง' ที่ดูดีกว่าเดิม (แม้จะยังไม่เนียนตา) เพราะที่ผ่านมาลูกทีม โซลชา พัฒนาการเล่นในลักษณะได้ดีขึ้น นักเตะเริ่มเข้าใจและประสานงานกันได้ดี
ถึงตรงนี้ขึ้นอยู่กับกุนซือทั้งสองฝ่ายจะสามารถหาทางแก้เกมหรือหาจุดอ่อนในการเล่นงานฝ่ายตรงข้ามได้ดีเพียงใด และด้วยเดิมพันของเกมที่สูงกว่าที่ผ่านมา ยิ่งทำให้ทั้งคู่ต่างต้องการกลับออกมาในฐานะผู้คว้าชัย
การเยือน แอนฟิลด์ หนนี้ไม่ใช่เพียงการออกไปดวลกับอริไม่เผาผีที่มีความหลังร่วมกันมายาวนาน แต่มันยังหมายถึงโอกาสการเพิ่มความมั่นใจให้กับนักเตะปิศาจแดง (หรืออาจจะเป็นการสะดุดพลาดท่าของ ยูไนเต็ด) และนี่คือโอกาสสำคัญในการแสดงความมุ่งมั่นของนักเตะ รวมไปถึงโอกาสสำคัญในการลงสนามเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาพร้อมแล้วในการขึ้นไปท้าชิง
เกมนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายของ แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างแน่นอน แต่มันคือบททดสอบสำคัญที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าและผ่านไปให้ได้
เพราะหากอยากพิสูจน์ว่าตนเองมีดีพอ การเจอกับขวากหนามและด่านที่ยากลำบากก็เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่สามารถหลีกหนีไปได้ มีแต่ต้องพุ่งชนและฝ่าฟันไปจนถึงที่สุด
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT