สิ่งที่หายไป
ที่ว่าน่าผิดหวังคงเป็นผลการแข่งขันที่ออกมานั่นแหละ แม้ว่า เบิร์นลี่ย์ จะทำผลงานได้ดี แต่การเล่นใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด มันมีความคาดหวังว่าต้อง 3 คะแนนเท่านั้น
บวกกับผลงานช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาที่ออกจะแย่และไม่เป็นไปตามที่หวัง ทำให้ทุกเกมโดยเฉพาะการลงเล่นใน โรงละครแห่งความฝัน ต้องจบที่ชัยชนะแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้
เกมล่าสุดก็เช่นกันผ่านไปไม่ถึง 3 นาที ก็โดน เดอะ คลาเร็ตส์ สอยดอกแรกตั้งแต่ไก่โห่ ทำเอาแฟนบอลเซ็งกับเป็นแถบ
ที่เซ็งกว่าคงเป็น โรเมลู ลูกากู (อีกแล้ว) ที่มีส่วนร่วมในจังหวะนั้นเพราะเขาเป็นคนที่ลงไปช่วยสกัดบอลแต่ดันโขกไม่ขาดไปตกหน้า แอชลี่ย์ บาร์นส์ หวดเสียจนตาข่ายเกือบขาด
ถือเป็นจังหวะคราวซวยของ 'เจ้ารอม' ที่ช่วงหลายเกมที่ผ่านมาเขามักจะโดนโจมตีจากจังหวะลงไปช่วยสกัด โดยเฉพาะเกมที่เจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เขาต้องรับไปเต็มๆ
แม้จะมีความตั้งใจหรือจุดประสงค์ดี ที่ลงไปช่วยเกมรับยามที่ทีมต้องเสียลูกฟรีคิกหรือลูกเตะกินเปล่าจากมุมมธงหรือระยะอันตราย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหรือผลที่ตามมานี่สิ ที่มันกลับตรงกันข้าม และเป็น ลูกากู ที่มักจะมีส่วนร่วมอยู่เสมอ
เท่านั้นไม่พอ สถานการณ์ที่เป็นรองตั้งแต่ต้นเกมกลับยิ่งแย่ไปกว่าเดิมเพราะ สตีเฟ่น เดอฟูร์ ดันมาหวดฟรีคิกสุดสวยส่งบอลเสียบสามเหลี่ยมแบบหมดจด
หมดปัญญาจริงๆสำหรับ ดาบิด เด เคอา กับสองประตูที่เสียไปในครึ่งแรก
คนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดกว่าใครคงหนีไม่พ้นชายที่ชื่อ โชเซ่ มูรินโญ่
นับเป็นช่วงเวลาที่โดนสื่อโจมตี แฟนบอลบางกลุ่มไม่พอใจถึงขนาดไล่ให้ลาออกไปก็มี
แต่ มูรินโญ่ ยังคงมุ่งมั่นกับการทำงาน พักครึ่งเขาได้คิดวิธีแก้เกมและถือว่าทำให้แฟนผีพอใจพอสมควรเพราะเขาจัดการเพิ่มแนวรุกอย่าง เจสซี่ ลินการ์ด และ เฮนริค มคิทาร์ยาน ลงสนาม
มูรินโญ่ ตัดสินใจเหลือ ฟิล โจนส์ ให้ทำหน้าที่แนวรับเพียงคนเดียว เนื่องจากเขาถอดเอา มาร์กอส โรโฮ ที่ดูจะโฉ่งฉ่างและเล่นผิดจังหวะมากเกินไปออกจาสนาม
มันคือการเดิมพันของ มูรินโญ่ ที่อ่านเกมว่า เบิร์นลี่ย์ จะลงไปรับลึกกว่าเดิมและอาศัยเกมสวนกลับซึ่งก็อาศัยการดาหน้าบุกแหลกชนิดที่ทีมเยือนได้แต่หวดทิ้งและวิ่งไล่บอลจนลิ้นห้อย
'จ่ามู' จัดการห้อย เนมานย่า มาติช เป็นตัวฟรีระหว่างแนวรับที่เชื่อมไปยังแนวรุกให้ทำหน้าที่เก็บกวาดและลำเลียงบอลขึ้นมา นอกจากนี้ แบ็กสองฝั่งยังได้สิทธิพิเศษในการเติมเกมแบบอิสระแบบไม่ต้องกลัวโดนด่าหรือพะวงหลังให้มากนัก
แนวรุกก็จัดการหาช่องเข้าทำชนิดที่งัดมาแทบทุกมุขทุกแนวและมาประสบผลสำเร็จ ในนาทีที่ 53
แต่เกมล่าสุดก็ต้องบอกว่ากว่าจะได้สักประตูก็ยากลำบาก เพราะอย่างที่เรียนไป เบิร์นลี่ย์ ไม่สนใจในแนวรุกพวกเขาเน้นรับเต็มที่และรอหาโอกาสสวนกลับเล่นงาน นอกจากนี้การยิงตรงกรอบแต่ละครั้งก็จะมี นิค โพ๊พ ที่สวมร่างทรง ทอม ฮีตัน ป้องกันเอาไว้ได้เป็นส่วนใหญ่
ตัวอย่างชัดเจนก็คือประตูที่ 2 นั่นแหละเพราะกว่าจะมาก็ต้องรอถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
เรื่องนี้ก็มองได้ 2 มุม ...
ใครจะมองว่า แนวรับของ เดอะ คลาเร็ตส์ ทำได้ดีและเหนียวแน่นอันนี้ก็ไม่ผิด เพราะพวกเขาทำได้ดีแบบนั้นจริงๆ สามารถจัดการกับแนวรุกของ ปิศาจแด งได้อย่างดี ส่วน 2 ประตูที่พวกเขาเสียก็ต้องบอกว่าหมดปัญหาเช่นกัน
หรือ ใครจะมองว่า แนวรุกของ ปีแดง เองนั่นแหละที่ไม่เด็ดขาด แม้ว่าจะเดินเกมรุกตลอด 90 นาที มีโอกาสมากมาย แต่การที่จะหาโอกาสจะแจ้งเอาบอลซุกก้นตาข่ายได้แต่ละครั้งช่างแสนยากเย็นเหลือเกิน
นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดในช่วงหลังและจะเห็นได้ชัดในหลายเกมที่ผ่านมา
แนวรุกก็ชุดเดิมที่เคยแข็งแกร่งและยิงคู่แข่งนัดละ 4 ประตู แถมยังได้ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กลับมาช่วยทีมรวมไปถึง เจสซี่ ลินการ์ด ที่ผลงานกระฉูดขึ้นมาในช่วงหลัง
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือความเฉียบขาดและการเข้าทำที่ดูจะติดขัดไม่ไหลลื่นเหมือนเดิม
คนที่โดนเพ่งเล็งมากที่สุดคงหนีไม่พ้น โรเมลู ลูกากู ที่โดนด่าและกระทืบผ่าน โซเชี่ยล มีเดีย แบบเละคาตีน
ด้วยความคาดหวังที่สูง พร้อมกับค่าตัวแพงระยับที่แบกไว้บ่นบ่า สถานการณ์ของกองหน้าชาวเบลเยียมคงไม่ต่างไปจาก 'ทำดีเสมอตัว ทำชั่วโดนด่า' แต่นี่คือสิ่งที่เขาคงทราบดีอยู่แล้ว เพราะอย่าลืมว่าเขาคือตัวความหวังในแดนหน้าของ ปิศาจแดง
จากผลงานที่ทำได้ดีในตอนเปิดตัวทำให้แฟนบอลต่างยกย่องว่านี่คือแนวรุกที่จะมาแบกทีมได้ในระยะยาว ทว่าหลังจากนั้นกราฟชีวิตของ ลูกากู ดิ่งลงเรื่อยๆ จนมาถึงจุดแตกหักในนัดดวลกับ แมนฯ ซิตี้
โดนด่า โดนถล่ม โดนกระทืบผ่านสื่อ โดยแฟนบอล ผิดกับ มูรินโญ่ ที่ยังคงออกมาปกป้องและยกเสมอหลังจบเกมอยู่เสมอ
อย่างที่เรียนไปนั่นแหละ ค่าตัวระดับนี้แถมได้รับความคาดหวังสูง ผลงานในสนามก็ต้องดีตามไปด้วย เพราะไม่เช่นนั้นก็ต้องโดนชำแหละแบบที่เกิดขึ้น
คนอื่นๆก็คงไม่ต่างโดยเฉพาะ มาร์คัส แรฟชอร์ด ที่โดนสับเละในเกมเจอ เลสเตอร์ ทุกคนต่างลงความเห็นในทิศทางด้านลบกับผลงานการเล่นของเด็กหนุ่มรายนี้
จังหวะจ่ายไม่ยอมจ่าย จังหวะจบก็ทำได้ไม่ดี ตะบี้ตะบันเลี้ยง ยิ่งมาโดน เลสเตอร์ ตีเสมอ 2-2 แบบน่าเจ็บใจทั้งที่ทีมมีคนมากกว่า แรชฟอร์ด เลยโดนรุมทึ้งแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้
คงพูดได้เต็มปากว่าตอนนี้ทีมมีปัญหาอย่างหนัก แม้จะสามารถยิงคู่แข่งได้ตลอด แต่หากดูจากจังหวะเข้าทำในแต่ละเกมรวมไปถึงการประสานงานในแนวรุก คงบอกได้เต็มปากเลยว่าทีมกำลังมีปัญหาในจุดนั้น
ไม่ต่างไปจากแนวรับที่เคยเหนียวแน่น แต่ช่วงหลังก็โดนกระซวกไส้มาโดยตลอดในช่วง 4 เกมหลังสุดที่ลงสนาม - (เวสต์บรอมวิช 1, บริสตอล ซิตี้ 2, เลสเตอร์ 2, เบิร์นลี่ย์ 2)
ความเด็ดขาด, ความดุดัน และเหนียวแน่น ที่เคยมีในช่วงต้นฤดูกาลกำลังลดทอนลงไปอย่างชัดเจน
ถึงจุดนี้ก็ต้องอยู่ที่ มูรินโญ่ และลูกทีมแล้วว่าจะสามารถเรียกสิ่งต่างๆที่เคยเกิดขึ้นในช่วงต้นฤดูกาลกลับมาได้หรือไม่
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT