เข้าอีหรอบเดิม
เกม 45 นาทีแรกเป็นฝั่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เป็นฝ่ายกด เบิร์นลี่ย์ แทบโงหัวไม่ขึ้น โอกาสเข้าทำมากมายแต่ได้มาเพียงประตูเดียว
แน่นอนว่าหากมองจากรูปเกมโดยรวมแล้ว ประตูที่ 2 ของ ปิศาจแดง ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าพอเริ่มต้นขึ้นหลังไม่กี่นาที เดอะ คลาเร็ตส์ ตีเสมอได้แบบงงๆ
ภาพย้อนกลับไปยังเกม เอฟเอ คัพ ที่ดวล มิดเดิลสโบรช์ เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว อะไรหลายๆ อย่างคล้ายกันอย่างมาก โดยเฉพาะผลงานช่วง 45 นาทีแรกที่เล่นงานฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง โอกาสเข้าทำมากมายชนิดที่สามารถทำให้เกมจบลงได้ตั้งแต่ตอนนั้น แต่ผลต่างมีเพียงประตูเดียว ซึ่งท้ายที่สุดผลลัพธ์ไม่ต่างกัน เพราะหลังจากเข้าห้องแต่งตัวไปปรับแผนหรือพูดคุยกัน เมื่อกลับมาลงสนามเหมือนว่ามันกลายเป็นคนละทีมเสียอย่างนั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นกลายมาเป็นปัญหาในตอนนี้ของนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด นั่นคือการยืนระยะให้ได้ตลอดทั้งเกม และการหาความต่อเนื่องเพื่อคว้าชัยชนะ เพราะช่วงหลังกว่าทีมจะคว้าชัยได้ก็หืดจับ หรือเล่นอยู่ดีๆ ผลงานดิ่งลงตามเวลาที่ดำเนินไปในสนาม
คนที่ปวดหัวที่สุดคงหนีไม่พ้น ราล์ฟ รังนิก เพราะมันคล้ายกับการต้องยืนดูพลุไฟที่พุ่งสว่างไสวแบบน่าตื่นตาตื่นใจ แต่หลังจากนั้นค่อยๆ หายลับดับไปบนเส้นขอบฟ้า ซึ่งไม่ต่างจากผลงานในช่วงที่ผ่านมาของ ยูไนเต็ด เพราะช่วง 45 นาทีแรกทำเกมได้ตื่นเต้นแต่มันค่อยๆ จางหายไปเรื่อยๆ จนมอดดับในครึ่งหลัง
ปัญหาก็อย่างที่ทราบกัน มันคือการเข้าทำที่ไร้ประสิทธิภาพ แม้จะมีโอกาสมากมายแต่ไม่สามารถฉวยคว้าติดมือ และเมื่อสกอร์นำแค่ลูกเดียวทำให้คู่แข่งยังคงอยู่ในเกมซึ่งพวกเขาเหล่านั้นอาจจะขอแค่จังหวะเดียวเพื่อเปลี่ยนเกม และมันก็เกิดขึ้นใน 2 นัดหลังสุด
บางคนอาจจะบ่นว่า 'วีเออาร์' เข้ามามีส่วนสำคัญในการกำหนดผลการแข่งขัน 2 นัดที่ผ่านมา จะว่าอย่างนั้นก็คงไม่ผิด แต่หากลองพิจารณาภาพรวมแล้วปัจจัยภายนอกแทบจะไม่มีผล 'ถ้า' ปิศาจแดง สามารถฉวยโอกาสและยืนระยะการทำผลงานในเกมได้ดีกว่านี้
ส่วนตัวมองว่าสิ่งที่ควรโดนตำหนิมากที่สุดคือ 'ทีม' เพราะพวกเขาแสดงให้เห็นถึงการไร้ซึ่งความคงเส้นคงวา มันคือสิ่งที่สำคัญของทีมใหญ่ๆ ที่ควรมี แม้ว่าบางนัดจะเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานแต่ก็สามารถเอาตัวรอดได้ ผิดกันกับ ผีแดง ที่อาจจะทำได้ดีช่วง 45 นาทีแรก แต่หลังจากนั้นเหมือนว่าเป็นคนละทีมไปเสียนั่น
อีกปัจจัยคือความเฉียบขาดที่หายไป หากพิจารณาจากโอกาสเข้าทำหรือจบสกอร์และลองนำไปเปรียบเทียบกับทีมอื่นๆ จะเห็นได้ว่านักเตะปิศาจแดงทำได้อย่างน่าผิดหวังและต่ำกว่ามาตรฐานมาก สิ่งนี้คือตัวชี้วัดสำคัญในการเอาชนะเกมการแข่งขัน ถึงคุณจะบุกมากมายเพียงใด มีโอกาสจะแจ้งกว่าฝ่ายตรงข้าม แต่หากไม่สามารถเปลี่ยนมันเป็นประตูได้ก็ไร้ผล
ในช่วงเวลาที่ แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังจมกับผลงานและผลการแข่งขันที่ไม่เป็นใจ เสียงวิจารณ์ถาโถมมาทุกสารทิศ สิ่งที่สำคัญคือการพลิกสถานการณ์ให้เร็วที่สุด
ตอนนี้เป้าหมายหลักคือการไล่ล่าโควตาพื้นที่ แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งถูกยกให้เป็นภารกิจสำคัญที่สุด แต่การแข่งขันถือว่าดุเดือดเพราะมีหลายๆ ทีมกำลังแย่งชิงอันดับ 4 แบบอุตลุด
ณ จุดนี้ไม่ต้องไปมองหรือแช่งทีมอื่นๆ ให้เสียเวลา เอาแค่มาลุ้นทีมตนเองให้ทำผลงานคงเส้นคงวาก็เหนื่อยแทบแย่ แต่ละเกมกว่าจะได้คะแนนต้องลุ้นแทบรากเลือด ยิ่งเกมต่อไปต้องดวล เซาธ์แฮมป์ตัน ก็ต้องบอกว่าน่าเป็นห่วง
ถึงจะเล่นใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด แต่ถูกยกให้เป็นต่อ แต่หากวัดจากผลงานที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า ปิศาจแดง จะเจองานที่ท้าทายและเป็นบททดสอบสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง ยิ่งผลงานในนัดล่าสุดของแข้งนักบุญยังเป็นฟอร์มที่ดุดันชนิดที่เป็นฝ่ายไล่กด ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ แทบโงหัวไม่ขึ้นในช่วง 45 นาทีแรก นั่นจึงเป็นโจทย์สำคัญให้ รังนิก กับลูกทีมต้องแก้และผ่านไปให้ได้
ที่สำคัญเลยคือการยืนระยะผลงานและงัดเอาฟอร์มที่ดีออกมาหากว่าอยากได้ 3 คะแนนไปนอนกอด แต่คำถามก็ตามมาว่าทีมๆ นี้จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้หรือไม่ในเกมวันเสาร์นี้
เพราะหากยังเข้าอีหรอบเดิมเหมือน 2 นัดที่ผ่านมา ดีไม่ดีอาจจะน้ำตาร่วงคารังก็เป็นไปได้
ถึงตรงนี้คงทำได้เพียงส่งแรงใจให้ รังนิก และลูกทีมตื่นจากภวังค์ผลงานที่ย่ำแย่และกลับมาคว้าชัยให้ได้อีกครั้ง เพราะหากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปอย่าว่าแต่อันดับ 4 เลย ดีไม่ดีในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคงไม่ได้โควตาอะไรเลยเมื่อจบฤดูกาล
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT