ไฟลนก้น
เรื่องดังกล่าวมีทั้งข่าวซุบซิบ (นินทา) การวิเคราะห์จากนักข่าวที่เกาะติดสโมสร รวมไปถึงการเดินหน้าในส่วนดึงนักเตะใหม่ และที่สำคัญคือบรรยากาศภายในทีม ณ ตอนนี้ที่ดูเหมือนว่าจะเจอปัญหาเรื่องสภาพจิตใจ
แค่ 3-4 วันที่ผ่านมาข่าวที่ถูกโยงกับ ปิศาจแดง มีมากมายหลายร้อยข่าวซึ่งเกือบทั้งหมดได้สร้างความสนใจให้กับทุกคน โดยเฉพาะรายงานจาก อินดิเพนเดนต์ และ บลูมเบิร์ก เผยว่าตระกูลเกลเซอร์มีแนวโน้มพร้อม 'ขาย' สโมสร ... แต่เหตุการณ์ที่ว่าเป็นเพียงรายงานจากสื่อซึ่งมีแนวโน้มทั้งการพิจารณาขายสโสรหรือแค่ขายหุ้น 'บางส่วน' เท่านั้นในอนาคต
ตามรายงานจาก อินดิเพนเดนต์ น่าจะสร้างความหวังให้แฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด ที่อยากเห็นเจ้าของทีมชาวอเมริกันออกจากสโมสรไปเร็วๆ กระนั้นการดำเนินงานหรือขั้นตอนต่างๆ ไม่ง่ายแถมต้องใช้เวลานานถึง 12-24 เดือนเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม หากมองแบบโลกสวยนับเป็นสัญญาณที่ดีหลังจากโดนแฟนบอลกดดันอย่างหนัก แถมพอมีข่าวว่า อีลอน มัสก์ สนใจซื้อสโมสร (แม้ภายหลังจะถูกเฉลยเป็นแค่ 'มุก' ขำขัน) ทำให้หุ้นของทีมเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
กระนั้นหากพิจารณาอีกมุมหนึ่งก็ยังขึ้นอยู่กับ ตระกูลเกลเซอร์ จะยอมปล่อยทีมให้หลุดจากมือหรือไม่ หรือจะเป็นแค่เพียงการปล่อยหุ้นบางส่วนเหมือนที่ บลูมเบิร์ก รายงานออกมา
นั่นเป็นเรื่องของอนาคตที่แฟนบอลปรารถนาให้เป็นจริงเพราะทุกคนหมดความอดทนกับการบริหารที่ล้มเหลวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทีมที่มีศักยภาพในการพัฒนาไปอยู่ในระดับสูงสุดกลับกลายมาเป็น 'ตัวตลก' และมีแต่จะดิ่งลงเหวไปเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมาจากความเห็นแก่ตัวของกลุ่มคนตระกูลเดียว ...
... สิ่งที่สำคัญกว่าในตอนนี้คือการหาทางหลุดพ้นจากห้วงเวลาอันเลวร้าย ทั้งในส่วนผลงานการเล่นที่น่าขายหน้า สภาพจิตใจที่เละเทะไม่เป็นท่า นอกจากนั้นทัศนคติเชิงลบที่ปรากฎออกมาให้เห็นตั้งแต่กลับจากการทัวร์ประเทศไทยและออสเตรเลีย คือสิ่งที่แฟนบอลหลายคนได้แต่เกาศีรษะ
ที่ชัดเจนที่สุดคือนักเตะในทีมนี้เกินกว่าครึ่งต้องถูกปล่อยออกไปหรือค่อยๆ ทยอยหาทางเทในอนาคต เพราะหลายคนแสดงให้เห็นแล้วว่าไม่เหมาะสมกับชุดอสูรแดงแถมยังมีทัศนคติที่ไม่ยอมรับสิ่งใหม่ๆ อยากเล่นตามที่ตนเองต้องการเท่านั้น
ไม่ว่าจะเปลี่ยนกุนซือคนแล้วคนเล่าก็คงช่วยอะไรไม่ได้เลยหากนักเตะยังมีทัศนคติแย่ๆ เช่นนั้นติดตัว ซึ่งหากอยู่กับทีมต่อไปมันจะกลายเป็นการแพร่ความคิดด้านลบให้กับคนอื่นๆ ไปทั่วสโมสร
จะว่าไปก็ต้องหันกลับไปที่บอร์ดบริหารสโมสรว่าทำไมถึงไม่รู้ตัวและปล่อยให้เป็นปัญหาที่ถับถมจนกลายเป็นสิ่งหมักหมมส่งกลิ่นเน่าออกมาในตอนนี้ ซึ่งคงจะเป็นอย่างที่กล่าวไปในคอลัมน์ก่อนหน้านี้ว่าเมื่อเอาคนที่ไม่มีความรู้ด้านฟุตบอลหรือไม่มีความคิดก้าวหน้าในการพัฒนาด้านกีฬา ปัญหาต่างๆ จะค่อยๆ สะสมเพิ่มขึ้นและกลายมาเป็นระเบิดเวลารอวันทำลายตัวเอง
กรณีของ ยูไนเต็ด ไม่ต่างกัน แม้แต่ละปีจะลงทุนเม็ดเงินจำนวนมหาศาลดึงผู้เล่นเข้าทีมมากมายเพื่อหวังฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ แต่มันกลายมาเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเพราะเงินทุนที่ลงแรงไปแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า
ถึงจะมีแชมป์ เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และ ยูโรปา ลีก แต่ต้องยอมรับตรงไปตรงมาว่ามาจากฝีมือของกุนซือใหญ่ทั้ง หลุยส์ ฟาย กัล และ โชเซ่ มูรินโญ่
ตอนนี้ทุกสิ่งแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ปัญหาที่หมักหมมได้ก่อตัวส่งกลิ่นคลุ้งไปทั่ว สำหรับแฟนบอลปิศาจแดงมันคือกลิ่นแห่งหายนะ ทว่าสำหรับแฟนบอลทีมอื่นๆ มันคือแก๊สหัวเราะชั้นดีที่ทำให้พวกเขามีความสุขทุกสัปดาห์
ณ ตอนนี้สิ่งที่บอร์ดบริหาร ปิศาจแดง ทำได้คือการเร่งเสริมทีมให้เร็วที่สุด อย่างน้อยๆ ต้องมีกองกลางรายใหม่มาร่วมทีม 2 รายเพราะเท่าที่มีอยู่แทบจะใช้งานไม่ได้เลยด้วยซ้ำกับฟุตบอลสมัยใหม่ที่เน้นการวิ่งบดบี้หรือเปิดช่องพร้อมสอดประสานหาพื้นที่อย่างชาญฉลาด
จะว่าไปแล้วตอนนี้มันคือการทำงานแบบไฟลนก้นของบอร์ดบริหาร ก่อนหน้านี้มีเวลาถมเถมากมายแต่ดันไปปักใจกับคนๆ เดียวที่ไม่มีความคิดชายตามองสโมสรเลยแม้แต่น้อย สิ่งนั้นมันแสดงให้เห็นถึงความอ่อนชั้นของทีมเจรจาว่าไม่สามารถประสานงานกับกุนซือได้ดีอย่างที่พ่นลมปากไว้ เพราะเมื่อเรื่องเป็นเช่นนั้นแล้วทีมงานต้องแจ้ง เอริก เทน ฮาก ไปทันทีว่ามีใครที่ต้องการนอกเหนือจากเป้าหมายเบอร์ 1 อีกแล้วหรือ พร้อมแจ้งสถานการณ์ให้กุนซือทราบเพื่อมองหาแผน 2, 3, 4 หรือ 5
เมื่อการประสานงานไม่ดีพอหรือการทำความเข้าใจกับกุนซือขาดช่วงเช่นนี้มันนำมาซึ่งเวลาที่เสียไปโดยใช่เหตุ และเมื่อมองเห็นปัญหาหรือแผลเน่าเฟะก็ค่อยมาไล่จัดการหรือรักษาแบบนี้ในกรอบเวลาที่บีบเข้ามาทุกขณะ
อย่างที่เคยพูดไปว่าสโมสรต้องเปลี่ยนการทำงานไปเป็นลักษณะ 'Proactive' หรือการทำงานเชิงรุกคอยสอดส่องว่าทีมมีจุดบกพร้องตรงไหน มีส่วนไหนต้องแก้ ไม่ใช่รอปัญหาเกิดขึ้นหรือรอให้ผู้จัดการทีมส่งเรื่องมาแล่วค่อยขยับ กลับกันทีมงานต้องเตรียมข้อมูลหรือทางเลือกไว้สนับสนุนกุนซืออยู่ตลอดเวลา คอยสอบถามความเห็นและพิจารณาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที
แต่ทาง ปิศาจแดง ยังคงทำงานแบบ 'Reactive' คือค่อยๆ แก้ไขไปทีละเปลาะ ค่อยตามล้างตามเช็ดไปที่ละจุด ซึ่งการทำงานลักษณะเช่นนี้ไม่เหมาะสมกับฟุตยอลสมัยใหม่ที่ต้องตื่นัวตลอดเวลา แะหากมองจากศักยภาพและประสิทธิภาพที่สโมสรมีมันจึงกลายมาเป็นการทำงานที่ไม่ตอบโจทย์เลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้บอร์ดบริหารต้องตระหนักแล้วว่าทีมมีแผลใหญ่ที่ส่งกลื่นเน่าเฟะรอให้รักษา นักเตะที่มีอยู่ในตอนนี้ไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้นรังแต่จะทำให้แผลเหวอะหวะกว่าเดิม การดึงผู้เล่นใหม่ที่เข้ากับระบบ เอริก เทน ฮาก มาร่วมทีมคือสิ่งสมควรที่สุดในตอนนี้ ถึงจะเป็นทางลือกที่ 2, 3, 4 หรือ 5 ก็ต้องทำ เพราะอย่างน้อยๆ เป็นการแสดงให้เห็นว่าทีมงานยังพยายามทำอะไรสักอย่าง แม้จะโดนกรอบเวลาบีบรัดมากขึ้นก็ต้องทำให้ได้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง อย่าลืมว่าก่อนหน้ามีเวลานี้ตั้งมากมายก่ายกองแต่มัวไปเอ้อระเหยสนใจแค่คนๆ เดียวจนลืมมองหาทางเลือกอื่น เรื่องดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่จะนำมาอ้างในเวลานี้
ยิ่งผลงานช่วงต้นฤดูกาลออกมาเละเทะเช่นนั้นทำให้แรงกดดันจากทุกสารทิศกำลังถาโถมไปยังสโมสรอย่างหนักหน่วงมากกว่าที่ผ่านมาหลายเท่าตัว
การทำงาน ณ ปัจจุบันจึงมาพร้อมกับความคาดหวังและแรงกดดันจากทุกฝ่ายโดยเฉพาะแฟนบอล ปิศาจแดง ที่อยากเห็นสโมสรขยับแบบทันท่วงทีเพื่อยกระดับทีมให้ดีกว่าเดิม
อยู่ที่สโมสรแล้วว่าจะทำได้หรือไม่ เพราะหากยังคงใช้งานนักเตะที่มี ณ ปัจจุบันเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ต่อให้เอาเทวดาหรือยอดกุนซือที่ไหนมาคุมบทสรุปก็คงไม่ต่างไปจากเดิมสักเท่าไหร่
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT