ต่างชั้นกันเกินไป
ย้อนกลับไปก่อนลงสนานที่ เอติฮัด สเตเดียม แฟนบอล ปิศาจแดง ต่างคาดหวังว่าลูกทีม เอริก เทน ฮาก จะลงไปสู้ แมนฯ ซิตี้ ได้แบบสูสีไม่มากก็น้อย แม้ว่าศักยภาพโดยรวมจะเป็นรองอริร่วมเมือง แต่ด้วยผลงานก่อนหน้านั้นและความมั่นใจที่เพิ่มขึ้น อย่างน้อยๆ ขุนพล ยูไนเต็ด น่าจะสร้างความอันตรายพร้อมเล่นงาน เรือใบสีฟ้า ได้บ้าง
แต่ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ 45 นาทีแรกที่รูปเกมเป็นแบบ 'วันเวย์' ของ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งครองบอลพร้อมเล่นงานอริสีแดงอย่างต่อเนื่องชนิดโงหัวแทบไม่ขึ้น
บอลตามช่องที่แม่นยำ การเล่นบอลสั้นทะลุทะลวงสร้างความลำบากให้แดนกลางและแผงหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างต่อเนื่อง การเปิดจากริมเส้นเข้าตรงกลางคุกคามลูกทีม เทน ฮาก แบบเห็นได้ชัด
จังหวะดังกล่าวเป็นที่มาของการได้ 3 ประตูจาก 4 ลูกในครึ่งแรก โดยเฉพาะประตูเบิกร่องนาทีที่ 8 เป็นจังหวะต่อบอลแบบพื้นฐานแต่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพทั้งการตัดบอล ขึ้นเกม แอสซิสต์ และจบสกอร์
เรือใบสีฟ้า และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ทราบดีถึงอาวุธเด็ดของ ปิศาจแดง สิ่งเหล่านั้นคือจังหวะสวนกลับหรือต่อบอลเร็วซึ่งใช้เล่นงานทีมต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา
กระนั้นทีเด็ดของ เทน ฮาก และลูกทีมกลับทำอะไร แมนฯ ซิตี้ ไม่ได้เลย เพราะทาง ยูไนเต็ด โดนปิดช่องพร้อมบีบพื้นที่เร็วทำให้แทบไม่มีเวลาคิดหรือมองหาแนวรุก ครั้นมีโอกาสและจังหวะเวลากลับไม่สามารถจ่ายบอลได้แม่นยำ จึงไม่ต่างจากการเตะบอลอัดกำแพงกระดอนกลับให้ แมนฯ ซิตี้ ได้เล่นงานอย่างต่อเนื่อง
หลายครั้งที่เห็นว่า เรือใบสีฟ้า เสียบอลไม่กี่วินาทีก็ได้กลับไปแล้ว หลายครั้งที่ ปิศาจแดง ไม่มีความแม่นยำและพยายามเร่งจนเกินไป (ทั้งจังหวะของตนเองหรือการโดนฝ่ายตรงข้ามบีบ) หรือการตัดสินที่ไม่เด็ดขาดในจังหวะสำคัญจึงทำให้การครองบอลเป็นของ แมนฯ ซิตี้ โดยสมบูรณ์
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า การต่อบอลตามช่องอันแม่นยำของ เรือใบสีฟ้า พร้อมเล่นงานจากบริเวณริมเส้นสร้างความปั่นป่วนให้ แมนฯ ยูไนเต็ด อย่ามาก ที่สำคัญคือช่วงจังหวะเวลาดูเหมือนจะเข้าทางเจ้าถิ่นเสียมากกว่าด้วย
หลังจากเสียประตูแรกไปอย่างรวดเร็ว ปิศาจแดง พยายามยันสกอร์และเกมรุกอันทรงพลังของ เรือใบสีฟ้า โดยตอนนั้นเชื่อว่าในใจของ เทน ฮาก ภาวนาให้ทีมตามหลังแค่ประตูเดียวเป็นดีที่สุด
แต่ความหวังกลับพังทลายจากลูกเตะมุม ซึ่งดันสืบเนื่องจากจังหวะบาดเจ็บของ ราฟาแอล วาราน ที่ต้องไปปฐมพยาบาลข้างสนามและมันมาพร้อมการเสียประตูที่สองของเกมจากผลงาน เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์
นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ชัดเจนที่สุด เพราะหลังจากนั้น 'โมเมนตัม' ยิ่งเอนฝั่งชัดเจน ทุกอย่างไหลมาทาง แมนฯ ซิตี้ แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ และมันกลายมาเป็นหายนะของ ปิศาจแดง
สกอร์ 4-0 ในครึ่งแรกอาจจะเพียงพอที่ให้ทุกคนเห็นภาพ แต่หากใครได้ดูเกมตั้งแต่นาทีแรกต้องส่ายศีรษะพลางถอนหายใจรัวๆ โดยเฉพาะสาวก ปิศาจแดง ที่เห็นทีมเล่นแบบไร้จิตวิญญาณนักสู้
จึงไม่แปลกที่หมด 45 นาทีแรกบรรดาแฟนบอลท้องถิ่นฝั่งสีแดงหลายคนพากันเดินออกจากสนาม เอติฮัด สเตเดียม เพราะไม่ต้องการทนดูโศกนาฏกกรรมที่อาจจะเกิดขึ้นในครึ่งหลังอีกต่อไปได้
มันควรเป็นเช่นนั้นหากทาง แมนฯ ซิตี้ ไม่ผ่อนคันเร่งลงไป แม้ส่วนหนึ่งต้องกล่าวชมนักเตะ ผีแดง ที่มีฮึดทำสามประตู แต่โดยรวมต้องยอมรับว่าถ้าเจ้าบ้านยังคงเร่งเกมแบบครึ่งแรก ทุกอย่างอาจจะเลวร้ายกว่านั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความผิดหวังให้แฟนบอลเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากเป็นการปราชัยให้อริไม่เผาผีฝั่งสีฟ้า มันยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า ปิศาจแดง ห่างชั้นกับเพื่อนบ้านทีมนี้มากแค่ไหน
มันเป็นกำแพงอันสูงลิบที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้แต่แหงนหน้ามองดู แม้ช่วงก่อนเกมจะเต็มไปความหวังของการปีนป่ายขึ้นไป แต่เมื่อลงสนามทุกอย่างได้ประจักษ์อย่างชัดเจน
ส่วนสำคัญตามที่ เทน ฮาก กล่าวหลังจบการแข่งขันคือเรื่องของสภาพจิตใจและความเชื่อมั่นที่ดูเหมือนลูกทีมของตนเองจะลืมพกลงไปในสนาม นั่นกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รูปเกมออกมาเช่นนั้น
หลายสิ่งผิดแปลกไปจากก่อนหน้านี้ ความมั่นใจในการเล่นดูถดถอยและกลายเป็นคนละทีมที่เคยทำผลงานได้ดี จึงไม่แปลกที่ เทน ฮาก จะผิดหวังขนาดนั้น
การต่อบอลที่ขาดความแม่นยำ การเล่นที่ไม่ปะติดปะต่อ ไหนจะการทำเกมที่ไร้ทรงและประสิทธิภาพ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกัน ยิ่งการเสียประตูแรกของเกมเป็นจังหวะที่เมื่อย้อนกลับไปดูเมื่อไหร่ก็น่าเจ็บใจเมื่อนั้น เพราะมันควรจะเป็นการสวนกลับและโอกาสทองของ ปิศาจแดง ทั้งที่ แมนฯ ซิตี้ พลาดให้แล้ว แต่ เจดัน ซานโช่ เสียบอลแบบง่ายๆ และการโดนตัดกลางสนามนำมาซึ่งความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
เรื่องดังกล่าวเป็นเช่นนั้นอย่างต่อเนื่องตลอด 45 นาทีแรก บางจังหวะที่น่าจะได้สวนกลับแต่แนวรุกตัดสินคืนหลังไม่คุกคามแนวรับฝ่ายตรงข้าม หรือแม้แต่แดนกลางที่นัดกันฟอร์มแย่ โดยเฉพาะ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ที่แทบจะโดนตัดออกจากเกมไปโดยปริยาย
เมื่อเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจึงไม่ต้องคิดว่าเลยว่าแนวรับต้องเจองานหนักแค่ไหน ฟูลแบ็กทั้งสองฝั่งโดนแนวรุก แมนฯ ซิตี้ เล่นงานบริเวณริมเส้นจนไปไม่เป็น โดนกดดันจนไม่สามารถขึ้นเกมไปช่วยแดนหน้าได้ ยิ่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟทั้งสองต้องหัวหมุนในการตามประกบ ฮาแลนด์ ไหนจะตัวสอดเข้าเขตโทษไปในจุดช่องว่างและเล่นงานตรงพื้นที่ดังกล่าว นั่นคือแผนอันแยบยลของ กวาร์ดิโอล่า ที่เห็นผลอย่างชัดเจน
นับว่าเป็นเกมที่เปิดแผล ปิศาจแดง อีกครั้ง และได้แสดงให้เห็นถึงความต่างชั้นของทั้งสองทีม ซึ่งคงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงหากจะบอกว่าต้องขอบคุณ แมนฯ ซิตี้ ที่ผ่อนเกมในครึ่งหลัง เพราะหากเจ้าบ้านยังคงเร่งเกมหรือเพิ่มความเอาจริงเอาจังกว่า 45 นาทีแรก (อย่างที่ กวาร์ดิโอล่า อยากให้เป็น) สกอร์ที่ออกมาคงเละเทะกว่านั้นแน่นอน
กำแพงสีฟ้าอันตระหง่านที่ตอนนี้ถูกก่อให้สูงกว่าที่ผ่านมา มันคือสิ่งที่ ปิศาจแดง พยายามก้าวผ่านแต่ไม่สำเร็จแถมยังโดนเศษอิฐเศษปูนหล่นทับจนเจ็บตัว
หวังว่าการปราชัยในนัดที่ผ่านมาจะทำให้แข้งปิศาจแดงได้สิ่งย้ำเตือนใจ (อีกครั้ง) ถึงช่องว่างที่ห่างไกล และสิ่งที่ต้องพัฒนาต่อไปเพื่อไล่ตามหัวตารางในอนาคต
สิ่งหนึ่งที่สำคัญในตอนนี้คือหัวใจนักสู้ที่ต้องพกลงสนามในทุกๆ เกม เพราะอย่างที่เห็นไปแล้วว่าหากถอดใจหรือไร้ความเชื่อมั่น มันจะกระทบไปยังผลงานอย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะทีมที่เปราะบางแบบ แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งพร้อมแตกสลายแบบง่ายดายหากโดนเล่นงานตรงจุด ยิ่งต้องพยายามพัฒนาในส่วนของแนวคิดและสภาพจิตใจให้ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา มันจึงเป็นงานที่ เทน ฮาก ต้องคอยย้ำเตือนลูกทีมถึงสิ่งเหล่านั้น ก้าวผ่านความวิตกและมีความมั่นใจมากกว่าที่แสดงออกมาในเกมล่าสุดให้ได้
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT