ก่อนวันแดงเดือด
ไม่ว่าจะเป็นก่อนเกม, ระหว่างเกม และ หลังจบเกม ที่แฟนบอลต่างนำมาถกเถียง, ต่อยอด, แตกประเด็น หรือ ทับถมฝ่ายตรงข้าม
ยิ่งการศึกหนนี้ยิ่งสำคัญเพราะผลการแข่งขันจะส่งผลถึงหลายสิ่งหลายปัจจัยที่ตามมา
เอาล่ะ อย่าให้เสียเวลา ก่อนเกม 'แดงเดือด' นัดที่ 200 ในประวัติศาสร์ลูกหนัง เราดูว่ากันว่ามีเรื่องอะไรที่น่าสนใจและควรพูดถึงกันบ้าง ...
'ทีมใต้ตีน'
นี่คือวลีเด็ดในช่วงที่ผ่านมา ที่แฟนบอลชาวไทยของทั้งสองทีมต่างนำมาเป็นคำเย้ยหยันกันและกันยามที่ทีมรักมีอันดับเหนือกว่า
สถานการณ์ตอนนี้ทราบกันดีว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทะยานกลับไปรั้งอันดับที่ 2 หลังจากอาศัยแรงฮึดในนัดล่าสุด แซงชนะ คริสตัล พาเลซ ไปได้ 3-2
เกมดังกล่าวนอกจากจะทำให้ลูกทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ คว้าสามแต้มสำคัญ แต่มันยังเป็นการเรียกความมั่นใจก่อนเกมที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด วันเสาร์นี้
ทางด้าน ลิเวอร์พูล ถือว่ากำลังเข้าฝัก เพราะนับตั้งแต่แพ้พลิกล็อกให้กับ สวอนซี ซิตี้ 0-1 เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา หลังจากนั้นพวกเขาคว้าชัยในลีกได้ 4 จาก 5 นัดที่ลงสนาม พร้อมกับทำไปถึง 13 ประตู
ด้วยการที่ทั้งสองทีมคงไม่มีทางไต่ไปมากกว่าอันดับที่ 2 ของตาราง เพราะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทิ้งขาดไปไกลเช่นนั้น ทำให้ ผี กับ หงส์ ต้องมาแก่งแย่งชิงดีในตำแหน่งพระรอง ซึ่งถือว่าสำคัญในเรื่องของจิตใจ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฟนบอลบ้านเรา)
และเกมในวันนี้เสาร์นี้จะเป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งว่า ปิศาจแดง จะทำแต้มหนีห่างไปเป็น 5 หรือว่า หงส์แดง จะแซงนำ หรือท้ายที่สุดระยะห่างยังคงเท่าเดิมที่ 2 คะแนน
แต่ที่สำคัญที่สุดคือทั้งสองทีมไม่อยากกลับออกมาในฐานะผู้ปราชัย เพราะมันมีเรื่องของศักดิ์ศรีค้ำคอ ...
'200'
ตัวเลขดังกล่าวหมายถึงจำนวนการเจอกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล ที่เกิดขึ้นในพงศาวดารลูกหนัง ซึ่งจะครบจำนวน 200 เกมในวันเสาร์นี้
ทั้งสองทีมถือเป็นอริและมีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมายในช่วง 199 นัดที่ผ่านมา ไม่ว่าจะในหรือนอกสนาม
ปัจจัยต่างๆถูกก่อตัวขึ้นและกลายมาเป็นการต่อสู้ชิงดีชิงเด่นของสองทีม ที่ต่างห้ำหั่นกันมาตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 1894
โดยสถิติต่างๆที่ผ่านมาดูเหมือนว่า ปิศาจแดง จะเหนือกว่าเพราะทีมดังจาก โอลด์ แทรฟฟอร์ด เอาชนะไปได้ 79 ครั้ง ที่เหลือเป็น หงส์แดง 65 และเสมอกันไป 55 เกม
นอกจากนี้ ยูไนเต็ด ยังเป็นฝ่ายที่ทำประตูได้มากกว่าที่จำนวน 272 / 251 ลูก
แต่หากดูจากผลงานการเจอกัน 4 เกมหลังสุดอาจจะทำให้แฟนบอลหวั่นใจ เพราะดันเสมอ 4 เกมรวด แถมรูปเกมของ ผีแดง ก็ใช่ว่าจะดีกว่าโดยเฉพาะ เกมล่าสุดที่ออกไปเล่นที่ แอนฟิลด์ ก็โดน หงส์แดง กดจนเป็ไปเป๋มา
แฟนบอลหวังว่าเกม 'แดงเดือด' นัดที่ 200 วันเสาร์นี้ จะมีอะไรใหม่ๆ และหวังว่าผลการแข่งขันจะเข้าทาง ผีแดง เสียที (ยูไนเต็ด ชนะ หงส์แดง หนสุดท้ายเมื่อ 17 มกราคม 2016 โดยบุกไปเอาชนะ 1-0 จากประตูชัยของ เวย์น รูนี่ย์)
เกมรับ ปะทะ เกมรุก ?
ต่อยอดจากประเด็นก่อนในเรื่องของรูปแบบการเล่น
ทุกคนคงจำได้ดีถึงเกมแรกที่เจอ ณ แอนฟิลด์ เมื่อต้นฤดูกาล โดยผลการแข่งขันจบลงแบบไร้สกอร์
ทว่า เกมดังกล่าว ยูไนเต็ด โดนกล่าวหาเป็นทีมที่เล่นโดยอาศัย 'รถบัส' ซึ่งถูกวิจารณ์อย่างหนักทั้งจากแฟนบอลฝั่งตนเองและตรงข้าม
ยิ่งในช่วงที่ผ่านมา โชเซ่ มูรินโญ่ มักจะโดนแฟนบอลของตนเองวิจารณ์ถึงแผนการเล่นในยามที่เจอกับทีมใหญ่ ว่า เน้นอุด และ ปลอดภัย ซึ่งขัดใจบรรดากองเชียร์อย่างมาก
ทางด้าน ลิเวอร์พูล ไม่บอกก็รู้ว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องมาเปิดเกมแลกแน่นอน เหตุผลหลักเลยคือแนวรุกที่กำลังจัดจ้านกดไป 67 ประตูใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้
แต่ ...
คำถามที่ตามมาคือ วันเสาร์นี้ มูรินโญ่ จะสั่งให้ลูกทีมเล่นแบบไหน?
บุก
รัดกุม
หรือ รับ
แน่นอนหากถามแฟนบอลก็ต้องบุกแลกไปเลย เพราะเล่นในถิ่นทั้งทีต้องเปิดแลก แถมชัยชนะก็จะหมายถึงการนำห่าง 5 คะแนน
แม้ ปิศาจแดง มีเกมรับที่ดี เสียประตูในลีก ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ไปเพียง 6 ลูกจากการลงสนาม 14 เกม แถมเป็น 1 ใน 6 ทีมที่ไม่โดน หงส์แดง เจาะตาข่าย ใน 42 นัดที่ยอดทีมจาก แอนฟิลด์ ลงสนามที่ผ่านมา
ทว่า แฟนบอลก็คงไม่สบอารมณ์หากต้องเห็นทีมรักลงมาเล่นเกมรับในสนามตนเอง สิ่งที่พวกเขาต้องการคือความมันสะใจและเปิดเกมรุกเพื่อเอาชนะแบบมีสไตล์
แต่ท้ายที่สุดคนที่ตัดสินใจไม่ใช่ใครอื่น โชเซ่ มูรินโญ่ นั่นแหละที่จะกำหนดการเล่นในวันเสาร์นี้ของทีม
แผนไหนดี?
เป็นคำถามทางฝั่ง ยูไนเต็ด ที่แฟนบอลคงเดาใจ มูรินโญ่ ไม่ถูกว่าจะมาไม้ไหน
อย่างที่ทราบกันดี ช่วงแรกของฤดูกาล กุนซือชาวโปรตุกีส จัดระบบ 4-2-3-1 ให้กับทาง ปิศาจแดง ใช้ลงสนามและนำมาซึ่งผลงานอันยอดเยี่ยม แต่หลังจากนั้นผลงานค่อยๆดร็อปลงไป ทำให้ทีมต้องสลับหมุนเวียนการเล่นไปตามสถานการณ์
แต่ในช่วงหลังมานี้ มูรินโญ่ หันมาใช้งานในระบบ 4-3-3 ซึ่งทำให้ ปอล ป็อกบา ได้โอกาสลงเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ทางซ้ายเหมือนตอนเล่นให้กับ ยูเวนตุส
อย่างไรก็ดี ผลงานของ ป็อกบา ก็ยังไม่กลับมาดีดังเดิม และโดนวิจารณ์อย่างหนักทั้งจาก 'กูรู' ในอังกฤษ และแฟนบอลตามโซเชียลที่ระดมคำด่าต่างๆที่จะคิดได้ถาโถมถล่มไปที่ 'เจ้าป็อก'
อีกหนึ่งจุดที่เป็นคำถามคือแนวรุก มูรินโญ่ จะเอายังไงกัน? เพราะเป็นที่แน่นอนว่า โรเมลู ลูกากู กับ อเล็กซิส ซานเชซ คงได้ลงแน่นอน อยู่ที่ว่า อีก 1 หรือ 2 ตำแหน่งที่เหลือ จะเป็นใคร
ทำไมต้อง 1 หรือ 2 ตำแหน่ง? เพราะหาก มูรินโญ่ เลือกเล่นในระบบ 4-3-3 สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ (หรือ ไมเคิ่ล คาร์ริค) ก็น่าจะได้โอกาสทำหน้าที่ต่อไปในแดนกลาง ทำให้เหลือที่ว่างในแนวรุกเพียง 1 ตำแหน่ง
หรือถ้าใช้ 4-2-3-1 ก็จะมีออปชั่นในแนวรุกอีก 2 แต่ปัญหาก็ตามมาอีกว่าจะเป็นใคร
นอกจาก ลูกากู และ อเล็กซิส แนวรุกที่ว่างในตอนนี้มี มาร์คัส แรชฟอร์ด, ฆวน มาต้า และ เจสซี่ ลินการ์ด ที่มีโอกาสลงสนามเป็น 11 ตัวจริง
ส่วนบรรดานักเตะอย่าง อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล รายนี้ต้องรอดูอาการเพราะเกมเมื่อวันจันทร์ไม่ได้มีส่วนร่วมเนื่องจากบาดเจ็บ
ทางด้าน ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ก็ยังไม่ชัวร์ แม้จะกลับมาซ้อมแต่ระดับความฟิตยังเป็นคำถามสำคัญ
ผลงานในรังคือตัวชี้วัด?
ปัจจัยสำคัญที่อาจจะส่งผลถึงการตัดสินเกมวันเสาร์นี้ตือผลงานที่ยอดเยี่ยมในการเล่นที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ของ ยูไนเต็ด
14 นัดใน พรีเมียร์ลีก ที่ผ่านมาของฤดูกาล 2017/18 ปิศาจแดง เอาชนะใน รังเหย้าของตนเองไปได้ 11 นัด เสมอ 2 แพ้ 1 (พ่าย แมนฯ ซิตี้)
นอกจากนี้พวกเขายังยิงไปได้กว่า 31 ประตู (เฉลี่ย 2.2 ประตูต่อเกม) และเสียไปเพียง 6 ลูกเท่านั้น
แม้ว่า สถิตินอกรังของ ลิเวอร์พูล ก็ดีไม่แพ้กัน (ชนะ 8 เสมอ 3 แพ้ 3) แต่ปัญหาใหญ่ของ หงส์แดง คือแนวรับที่เสียประตูอย่างมากมายยามที่ต้องลงทำศึกนอก แอนฟิลด์
ปัญหาดังกล่าวคือสิ่งที่ ยูไนเต็ด ต้องฉกฉวยและเน้นไปที่จุดอ่อนดังกล่าว
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT