:::     :::

ภัยซ่อนเร้น?

วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม 2561 คอลัมน์ ผีตัวที่ 13 โดย โกสุ่ย
4,158
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ชัยชนะเหนือ ไบรท์ตัน 2-0 ในเกม เอฟเอ คัพ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ถือเป็นผลการแข่งขันที่เป็นไปตามเป้าหมาย

นอกจากจะเป็นการตีตั๋วเข้าไปเล่นรอบรองชนะเลิศในถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ยังเป็นการกลับมาคว้าชัยหลังจากพลาดท่าตกรอบ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อวันอังคารที่ผ่าน

แม้หลายคนมองว่ามันทดแทนกันไม่ได้ แต่การคว้าชัยเกมล่าสุดหมายถึงการต่อลมหายใจในการลุ้นแชมป์ของ ปิศาจแดง ในฤดูกาลนี้

ในลีกก็ไกลเกินเอื้อม - ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็รู้กันดีว่าเพิ่งตกรอบมาหมาดๆ ทำให้ เอฟเอ คัพ คือรายการที่นักเตะปิศาจแดงต้องเน้นกันอย่างเต็มที่เพื่อตอบแทนแฟนบอลที่ติดตามให้กำลังใจตลอดซีซั่นนี้

ถือว่ามีโอกาสดีทีเดียวเพราะตอนนี้ก็หลุดมาถึงรอบตัดเชือก ซึ่งถ้านับตามสเต็ปแล้ว ขอแค่ชัยชนะอีกเพียง 2 นัด ลูกทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ ก็จะทำได้ตามเป้าหมาย

ทว่า ทุกอย่างย่อมมีอุปสรรคเพราะทีมที่เหลือที่หลุดเข้ามาถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายก็คงคิดแบบเดียวกัน

ว่ากันถึง มูรินโญ่ แล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเพิ่งทำการร่ายยาวฝากไปถึงแฟนบอลผีแดงทุก (ในโลก) หลังจากความปราชัยในเกมยุโรป

ใจความสำคัญทุกคนคงทราบกันแล้ว โดยรวมเขากล่าวถึงแฟนบอลและสิ่งที่ผ่านมาก่อนที่เขาจะเข้ามาทำงานใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด รวมไปถึงช่วงเวลาที่เขาเข้ามาทำงาน

มูรินโญ่ เข้าใจดีว่าแฟนบอลมีความต้องการและปรารถนาที่จะให้ทีมรักกลับไประสบความสำเร็จอีกครั้งทั้งในและนอกประเทศ หลังห่างหายจากช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ไปนาน

นายใหญ่ชาวโปรตุเกสพยายามที่จะสื่อความหมายถึงการพัฒนาที่เป็นขั้นเป็นตอน เขาทราบดีว่าทุกอย่างล้วนแล้วแต่ต้องผ่านการคัดกรองและบ่มเพาะจนกว่าจะไปถึงช่วงเวลสุกงอม

แต่ด้วยการที่แฟนบอลปัจจุบันใจร้อนและต้องการความสำเร็จอย่างทันด่วน ทำให้บางครั้งความต้องการของแต่ละฝ่ายมันไม่สอดคล้องกัน 


อย่างไรก็ตาม แฟนบอลบางกลุ่ม ก็ระบุว่าพวกตนไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้น ขอแค่เพียง 'รูปแบบ' การเล่นที่สนุกตื่นตาตื่นใจกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็พอ

กล้าที่จะบุก, กล้าที่จะแลก, กล้าที่จะทำประตู และกล้าที่จะมอบความสุขให้กับแฟนบอลทั้งในสนามและที่ติดตามทางหน้าจอ

สิ่งๆต่างเกิดขึ้นมากมายภายใต้การทำงานของ มูรินโญ่ เขาทราบดีไม่ใช่ไม่ทราบ แต่ก็อย่างที่เรียนไปนั่นแหละการทำงานของเขามีขั้นมีตอน ซึ่งมันอาจจะไม่รองรับกับความต้องการของแฟนบอล

ยิ่งผลงานและอาจจะรวมไปถึงการลงสนามในเกมสำคัญที่มักจะออกมาตรงกันข้ามกับความคาดหวัง ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ขึ้นทุกครั้งเมื่อทีมมีผลงานที่ไม่น่าพอใจ

ตัวอย่างก็เช่นเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดล่าสุดนั่นไง ที่ มูรินโญ่ ถูกจับขึงและชำแหละอย่างไม่มีชิ้นดี

แน่นอนมันเป็นเกมที่น่าผิดหวัง และไม่สมควรเกิดขึ้น เพราะอย่างน้อยๆ ทีมอย่าง เซบีย่า ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่ทีมก็กลับทำให้มันเป็นเรื่องยาก

วันเวลาดำเนินต่อไป ทิ้งความผิดหวังไว้ข้างหลัง นักเตะปิศาจแดงกลับมาคว้าชัยในนัดล่าสุดก็พอทำให้บรรยากาศของแฟนบอลดีขึ้นมาบ้าง

แต่ก็มิวายเมื่อ มูรินโญ่ กลับจุดประเด็นขึ้นมาใหม่หลังจากออกมาตำหนิวิธีการเล่นของนักเตะในนัดล่าสุดว่าไม่เป็นที่น่าพอใจแม้ว่าจะเข้ารอบก็ตาม

ถ้าจำไม่ผิดนี่เป็นครั้งแรกของฤดูกาลนี้เลยที่นายใหญ่รายนี้ออกมาตำหนิและวิจารณ์การเล่นของนักเตะในทีม เพราะที่ผ่านมาต่อให้แย่หรือแพ้ทีมไหนมาก็ตาม เขาจะออกมาปกป้องผลงานนักเตะเสมอ


ประเด็นต่างๆยิ่งถูกตีความไปหลายทิศทางทั้งการจัดทีมที่ไร้เงา ปอล ป็อกบา และ อเล็กซิส ซานเชซ ที่เป็นเพียงตัวสำรองบวกกับ 'คอมเม้นต์' ที่ว่า "มันเป็นเพียงการจัดทีมที่ผมคิดว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดที่พยายามจะเอาชนะในเกมนี้" บางคนก็อดคิดไม่ได้ว่ามันมีความหมายถึงใครหรือเปล่า?

ยิ่งหลังจบเกม ยิ่งมีประเด็นตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยน ลุค ชอว์ ออกจากสนาม หรือการวิจารณ์ผลงานนักเตะซึ่ง มูรินโญ่ จัดการร่ายยาวออกมาชนิดที่ต้องคิดตามเป็นฉากๆ ... 


"ผมไม่ชอบรูปเกม แต่ผมคิดว่าเราควรชนะเพราะเกมอยู่ในการควบคุมของเราเป็นส่วนใหญ่"

"แต่เราไม่ได้เล่นในทิศทางตามที่ผมต้องการให้นักเตะเล่น ผมไม่ได้รับปฏิกิริยาจากพวกเขาทั้งหมด ผมได้รับมาแค่บางส่วนเท่านั้น และเพราะเหตุที่ว่ามาบางส่วนของพวกเขามีจิตใจที่แข็งแกร่งและมีคุณภาพในการเล่น นั่นคือเหตุผลที่เราเอาชนะ"

"แต่เมื่อคุณไม่มีนักเตะอย่างน้อย 6 หรือ 7 รายที่กำลังทำผลงานได้ดีและต้องการลงสนาม, ต้องการที่จะรับผิดชอบหน้าที่ยามที่มีบอล และต้องการเล่นจริงๆ มันยากที่จะมีผลงานที่ดี"

"โดยรวมแล้วผมไม่มีความสุขกับผลงาน แต่ผมมีความสุขกับผลการแข่งขัน"

"ผมใช้เวลา 2 วันในการทำงานเพื่อสร้างความเร็วในการทำเกมและบอลไปอยู่ในแนวระหว่างแนวรุก มันขึ้นอยู่กับคุณภาพและการตัดสินโดยแนวรับในการครองบอลและรวมไปถึงการเคลื่อนที่ของแนวรุกด้วย"

"ในตอนที่ผมใช้เวลา 2 วันในการทำแบบนี้ และต่อมาผมมาถึงที่นี่ นักเตะในแนวรุกซ่อนอยู่หลังแนวรับ ไม่ต้องการที่จะเอาบอลระหว่างแนว, นักเตะแนวรับเพียงแค่ส่งบอลไปมา และมันมากกว่า 10-12 จังหวะ ในการพาบอลจากแนวหนึ่งไปยังอีกแนวหนึ่ง ผมต้องรู้สึกหงุดหงิดเพราะผมคิดในฐานะโค้ช สิ่งที่น่าหงุดหงิดมากที่สุดไม่ใช่ผลการแข่งขัน เพราะบางทีผมการแข่งขันที่แย่ๆก็เกิดขึ้นได้ บางทีสิ่งที่ไม่น่าพอใจเกิดขึ้นเมื่อผมทำงานในสนามและไม่เห็นการตอบสนองในเกมนั้น"

"สถิติคือเรื่องโกหก บางทีมยิงไปกว่า 10 ครั้ง และ 8 ครั้งเหินข้ามคาน อีกหนึ่งครั้งที่ยิงตรงกรอบผู้รักษาประตูก็เซฟได้ง่ายๆ - สถิติไม่ได้แสดงอะไรมากมาย"

"เราเตรียมทีมเพื่อให้เล่นในรูปแบบที่แตกต่างกัน, ให้ดุดันกว่าเดิม, กดดันในแนวสุดท้ายมากกว่าเดิม, เล่นระหว่างแนวรับมากขึ้น และเชื่อมต่อประสานระหว่างการครองบอลในแนวรับ แต่นักเตะแนวรุกทำงานไม่ได้ผล" ... 


นั่นคือสิ่งที่ มูรินโญ่ กล่าวหลังจบเกม ซึ่งมันมีความย้อนแย้งในตัวมันเองโดยเฉพาะการครองเกมของทีม

หากใครดูถ่ายทอดสดผ่านช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ จะพบว่า ไบรท์ตัน ทำได้ดีกว่าโดยเฉพาะครึ่งหลังในช่วงที่ ปิศาจแดง กำลังนำอยู่ 1-0

เดอะ ซีกัลส์ พยายามทำเกมรุกโดยอาศัยปีกสองข้างทั้ง โซลลี่ มาร์ช และ เยอร์เก้น โลคาเดีย ในการเจาะทะลุแนวรับผีแดง

มันเกิดขึ้นตั้งแต่ครึ่งแรกโดยทาง มาร์ช จะอาศัยความเร็วลากหลบ ลุค ชอว์ และอาศัยการครอสที่อันตรายเล่นงาน ทางด้าน โลคาเดีย จะมีลูกตัดเข้าในที่สามารถสร้างความสับสนให้กับทั้ง เอริค ไบยี่ และ คริส สมอลลิ่ง ได้เสมอ (ซึ่งมันเกือบจะได้ผลในครึ่งหลัง เมื่อเขาลากผ่าน ไบยี่ แล้วได้ยิงดีที่ สมอลลิ่ง มาบล็อกได้ทัน)

นั่นจึงเป็นที่มาของการถอด ชอว์ ออกจากสนามในต้นครึ่งหลัง

"ผมต้องการให้แนวรับดีกว่าเดิม ต้องการบุคลิกจากทีมมากขึ้น ที่จริงผมต้องการเปลี่ยนแบ็กทั้งสองฝั่งออก"

"ผมไม่ได้เปลี่ยนทั้งสองออกเพราะผมคิดว่ามันดูรุนแรงเกินไปและมันจะทำให้ผมเหลือโอกาสเปลี่ยนตัวอีกเพียงรายเดียว"

"ในการพยายามและเพิ่มโอกาสแนวรุกให้ดุดันกว่าเดิม ผมต้องเปลี่ยนหนึ่งในสองคนนี้ ผมเลือก ลุค เพราะอย่างน้อย อันโตนิโอ มีคุณภาพในการยืนตำแหน่งของการป้องกันได้ดี และเขายังคงทำได้ดีในเรื่องนั้น"

"สำหรับ ลุค ในครึ่งแรกเมื่อฝ่ายตรงข้ามบุกมาทางขวา ลูกครอสต่างๆจะเข้ามาและถือเป็นสถานการณ์ที่อันตราย ดังนั้นผมจึงไม่พอใจกับผลงาน"


ความเห็นเหล่านี้ดูเผินๆอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาของกุนซือที่ต้องการติเพื่อก่อ และให้ทีมได้รู้ถึงสิ่งที่ต้องทำและพัฒนาให้ดีกว่าเดิม

หากเกิดกับทีมอื่นๆคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร และถือว่าเป็นเรื่องปกติของสโมสรฟุตบอลในโลกนี้

แต่สิ่งที่เพิ่งหลุดออกจากปาก มูรินโญ่ ถือว่าเกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่หมิ่นเหม่และสุ่มเสี่ยงอย่างมาก โดยเฉพาะบรรยากาศในห้องแต่งตัวที่ตอนนี้คนนอกเองก็ไม่ทราบว่าเป็นไปอย่างไรบ้าง

ไหนจะรวมไปถึงความเห็นที่เขาระบุว่า เนมานย่า มาติช ถูกรายล้อมไปด้วยนักเตะที่ขาดแรงจูงใจ, บุคลิก และ 'คลาส' ยิ่งทำให้สื่ออังกฤษจะจี้ประเด็นดังกล่าวต่อไปอย่างต่อเนื่อง

คงไม่แปลกหากจะเห็นการเล่นประเด็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากทางสื่อในแดนผู้ดีที่ขึ้นชื่อเรื่องการเกาะติดด้านลบของสโมสร

ท้ายที่สุดเรื่องที่ว่ามาอาจจะไม่มีอะไรในก่อไผ่ และมันอาจจะเป็นเพียงการพูดเพื่อก่อให้เกิดสิ่งปลุกเร้าในทีม

แต่ ... มันก็อดคิดไม่ว่าสิ่งที่ มูรินโญ่ เอ่ยไปนั่นอาจจะกลายมาเป็น 'ภัยซ่อนเร้น' ที่แฝงตัวในเงามืดรอวันก่อตัวเป็นหอกที่กลับมาทิ่มแทง

มูรินโญ่ เคยมีประสบการณ์ในเรื่องแบบนี้ดี และเขาคงทราบดีว่าผลที่อาจจะตามมานั้นเกิดขึ้นได้ทั้งสองแบบ

จะดีหรือร้าย ผลงานในสนามและปฏิกิริยาของนักเตะจะเป็นตัวบอกมันเองทั้งหมด ... 



คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด