มาราธอนของยูไนเต็ด
สำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นี่คือช่วงเวลาสำคัญ (อีกครั้ง) ทั้งในเวที พรีเมียร์ลีก และ แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งมีเป้าหมายที่ต้องการทำให้ลุล่วง
ในลีกสูงสุดอังกฤษคือการสานต่อชัยชนะ เพราะสถิติ 5 เกมหลังสุดดันทำได้ดีชนะ 4 จาก 5 นัด สวนทางกับผลงานในสนามที่กระท่อนกระแท่น เพราะกว่าจะคว้า 3 คะแนนในแต่ละเกมล้วนมาจากความยากลำบากแทบทั้งสิ้น
ยิ่งโปรแกรมนหลังจากนี้เจองานหนักแทบทั้งสิ้น เริ่มจากนัดต่อไปในการเยือน เอฟเวอร์ตัน วันอาทิตย์ ต่อด้วยบุกรัง เซนต์ เจมส์ พาร์ก ของ นิวคาสเซิ่ล ทำให้แฟนๆ ผีแดง หนักอกหนักใจแทนทีมรัก
สิ่งที่เกิดขึ้นกับแฟนบอลมาจากผลงานอันไม่มั่นคง เพราะถึงจะชนะ 4 จาก 5 เกมหลังสุดในลีก แต่ทุกอย่างเป็นไปตามที่กล่าวไปข้างต้นว่ากว่าจะ 'เฮ' ได้แต่ละเกมต้องแลกมาด้วยความอึดอัดและความยากลำบากชนิดเลือดตาแทบกระเด็น ที่สำคัญคือแนวรุกนัดกันตีนบอดจนต้องพึ่งพาตำแหน่งอื่นๆ ในเวลาเช่นนี้
แม้ท้ายที่สุดจะมี 12 จาก 15 คะแนนเต็มใน 5 เกมที่ผ่านมา แต่หากพิจารณาเรื่องฟอร์มการเล่นนับว่าเหนื่อยใจแทนเมื่อนำไปเทียบกับทีมที่ต้องปะทะด้วยหลังจากนี้
พ้นโปรแกรมบุกรัง ทอฟฟี่สีน้ำเงิน กับ สาลิกาดง ไปแล้ว ยูไนเต็ด ต้องเปิดบ้านปะทะ เชลซี และ บอร์นมัธ ต่อด้วยการออกไปเยือน แอนฟิลด์ สนามที่สร้างฝันร้ายให้ ปิศาจแดง เมื่อซีซั่นล่าสุด
งานหนักยังไม่หยุด เพราะให้หลังจากศึกแดงเดือดวันที่ 17 ธันวาคม ยูไนเต็ด ต้องออกไปเยือน เวสต์แฮม ลากยาวต่อเนื่องไปที่เกม 'บ็อกซิง เดย์' กับ แอสตัน วิลล่า และส่งท้ายปี 2023 ในการบุกรัง น็อตติงแฮม ฟอเรสต์
โปรแกรมที่กล่าวมาจะถูกคั่นสองนัดในเวที แชมเปี้ยนส์ ลีก ดวล กาลาตาซาราย (29 พ.ย.) และ บาเยิร์น มิวนิค (12 ธ.ค.) เท่ากับว่าตั้งแต่สุดสัปดาห์นี้ไปจนถึง 30 ธันวาคม ปิศาจแดง ต้องลงสนามต่อเนื่อง 10 นัด !!! (ซึ่งจะมีเวลาพักเต็มสัปดาห์ระหว่างเกม ลิเวอร์พูล และ เวสต์แฮม เท่านั้น)
เป็น 10 นัดสำคัญที่จะกำหนดอันดับบนตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก ว่าจะยังคงสามารถเกาะกลุ่มลุ้น 'ท็อป 4' ได้หรือไม่ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวไม่มีใครบอกได้หากวัดจากผลงานที่ผ่านมา แถมมีความเป็นไปได้ที่จะออกมาทั้งในทิศทางที่ดีหรือเลวร้ายได้ทั้งหมด
ส่วนกรณี แชมเปี้ยนส์ ลีก นับว่าเป็นงานหนัก เพราะด่านแรกคือ 'ต้อง' บุกชนะ กาลาตาซารายให้ได้เพื่อกุมชะตาตนเองในนัดสุดท้ายที่จะรับมือ เสือใต้
อย่างที่รู้กันดีถึงสถานการณ์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด มีเพียง 3 คะแนน ทำให้หากปรารถนาเข้ารอบ 16 ทีมก็ต้องชนะทั้ง 2 นัดที่เหลือให้ได้เท่านั้นแบบไม่มีข้อยกเว้น
นั่นคือภารกิจสำคัญของ เอริก เทน ฮาก และลูกทีมในการเดินหน้าไปยังเป้าหมาย (ที่อาจจะริบหรี่) แต่หากมองในแง่ดีมันคือโอกาสที่พวกเขาต้องคว้ามาให้ได้ และแสดงให้เห็นถึงการพลิกสถานการณ์อย่างที่กุนซือใหญ่พูดออกมาเสมอ
ทำให้การลงสนามหลังจากนี้ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ต่างจากการวิ่งมาราธอนระยะยาวซึ่งต้องเจออุปสรรคมากมายขวางกั้น โดยอุปสรรคที่กล่าวมานั้นล้วนแล้วแต่จะพร้อมเป็นตัวขัดขวางและทำให้ ปิศาจแดง สะดุดล้มได้ทุกเมื่อ แถมมีบางด่านที่พร้อมเหยียบให้พวกเขาจมดิน
ทั้งหมดจึงอยู่ที่นักเตะผีแดงจะสามารถฝ่าฟันการวิ่งอันหฤโหดนี้ได้หรือไม่ และจะสามารถผ่านด่านหรืออุปสรรคต่างๆ ได้ดีเพียงใด หรือจะสามารถรอดพ้นผ่านปี 2023 โดยให้เกิดแผลน้อยที่สุดได้หรือไม่ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่น่าสนใจและอยู่ในการจับตาของหลายๆ คน โดยเฉพาะแฟนบอล ยูไนเต็ด ที่คาดหวังให้ทีมรักเจอจุดเปลี่ยนของตนเองสำหรับการเดินหน้าสร้างผลงานที่ดี
ที่กล่าวมาไม่มีอะไรการันตีได้ว่าจะเกิดขึ้นทันทีหลังจากนี้ และทุกอย่างเป็นสิ่งที่แฟนบอลปิศาจแดงต้องตามลุ้นกันต่อไป
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT