ผีงานวัด กับ มหาซาตาน
ที่ต้องบอกว่า 'เหลือเชื่อ' เพราะมันเป็นการบุกไปเก็บสามแต้มจาก 'ว่าที่' แชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2017-18 ถึง เอติฮัด
สเตเดียม
ใช่ ... ใครจะไปคิดว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะพลาดท่าให้คู่แข่งทั้งที่ออกไปก่อน 2-0 แถมรูปเกมดีกว่า ผีแดง ชนิดที่จะเหยียบมิดตีนจมดินยังทำได้เลย
45 นาทีแรกที่รังเหย้าของ เรือใบสีฟ้า ลูกทีมของกุนซือจอมแท็กติกจากสเปน กระหน่ำรัวใส่ ปิศาจแดง ชนิดที่ว่า นี่มัน ผีแดง หรือกลองชุดกันแน่ (วะ) เพราะนักเตะ ซิตี้ บรรจงเล่นเพลงหลากหลายรูปแบบทั้ง เมทัล, เดธคอร์, แบล็ค หรือ แม้แต่ เฮฟวี่ เมทัล ที่ระดมมาเป็นชุดไม่ยั้ง
นี่ถ้าเป็นมวย ลูกทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ ก็ทำได้แค่เอาหลังพิงเชือกพร้อมกับมองดูคู่แข่งสาวหมัดเป็นชุด แถมด้วยอาวุธครบเซ็ตทั้ง เท้า-เข่า-ศอก ที่รัวแบบไม่ยั้ง
โชคดี ... โชคดีมากๆ ที่ ยูไนเต็ด โดนกระหน่ำไปแค่ 2 ดอกเบาะๆ เพราะหากดูจากโอกาส 'เรือใบ' น่าจะกดไปสัก 5-6 สูงเป็นอย่างต่ำหากไม่เอาจังหวะงามๆเหล่านั้นไปโยนทิ้งเสียเอง
แต่ ... ฟุตบอลก็เป็นแบบนี้ มันไม่ต่างอะไรจากงูตัวหนึ่งที่เมื่อหมายจะฆ่าแล้วก็ต้องฆ่าให้ตาย ตีมันให้หลังหักหรือหัวบี้แบนชนิดที่หมดสิ้นพิษสง
เรื่องนี้คงทำให้ 'เป๊ป' จำไปจนวันตาย เพราะจากทีมที่สู้ไม่ได้ เป็นรองทุกหน้าแถมไม่มีสัญญาณที่จะบ่งบอกเลยว่าจะกลับ แต่ ปิศาจแดง ดันทำเรื่องน่าเหลือเชื่อได้ ... ซะงั้น
สิ่งที่จุดความหวังของ ปิศาจแดง คงเป็นบรรดาแนวรุกที่ยังคงเดินหน้าเต็มที่โดยเฉพาะ อเล็กซิส ซานเชซ ที่เป็นตัวจุดประกายอย่างแท้จริง หลายคนอาจจะมองว่า ปอล ป็อกบา ต่างหากที่ทำให้ทีมกลับมา แต่ ... ถ้าปราศจาก 'ชายเล็ก' จากชิลีรายนี้ ประตูที่ได้มานั้นคงไม่เกิดขึ้น
กับสามประตูที่เกิดขึ้นนั้น อเล็กซิส มีส่วนร่วมทั้งหมด ประตูแรกเขาเป็นคนที่ยึกยักอยู่ทางขวาก่อนจะเปิดมาให้ อันเดร์ เอร์เรร่า ใช้หน้าอกดีดบอลต่อไปให้ ป็อกบา สอยตาข่าย
ประตูที่ 2 ยิ่งแล้วใหญ่ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า 'เซนส์' และเป็นทีเด็ดของ อเล็กซิส มาโดยตลอดกับการเปิดบอลข้ามกองหลังพร้อมกับมีเพื่อนร่วมทีมสอดขึ้นไปยังจุดนัดหมาย และแน่นอน คราวนี้ก็เป็น ป็อกบา คนเดิม ที่โขกเข้าไป
เท่านั้นไม่พอ เพราะประตูที่สามเขายังเปิดฟรีคิกให้ คริส สมอลลิ่ง แก้ตัว จากการประกบตัวพลาดในการเสียประตูแรกให้ แว็งซ็องต์ ก็องปานี
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดทำให้แฟนผีแดงทั่วโลกต่างตกตะลึงและสะใจกับผลการแข่งขันที่ออกมา
นี่คือการ 'คัมแบ็ก' ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเกมหนึ่งนับตั้งแต่สิ้นยุค เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และมันยังเป็นการทำได้กับทีม 'เพื่อนบ้านน่ารำคาญ' รวมไปถึงหยุดยั้งไม่ให้บรรดา 'ซิตี้เซนส์' ผยองไปมากกว่านี้ (แม้ท้ายที่สุดพวกเขาจะได้แชมป์ปีนี้ไปก็ตาม)
ที่น่าสนใจคือรูปเกมที่เกิดขึ้นซึ่งมันแตกต่างอย่างชัดเจน
45 นาทีแรก ยูไนเต็ด เล่นเหมือนผีอ่อนหัดที่เพิ่งเคยออกมาหลอกหลอนชาวบ้าน ดูมันไม่มีแรงหรือความกระตือรือร้นเอาเสียเลย
มันไม่มีแม้กระทั้งแรงจูงใจ การต่อบอลสะเปะสะปะ ไร้ทิศทาง แถมยังไร้ซึ่งความอันตรายใดๆทั้งสิ้น
ผิดกับ ซิตี้ ที่ดุดัน, ทรงพลัง, มุ่งมั่น และต้องการชัยชนะ นั่นทำให้ เกมครึ่งแรกที่ เอติฮัด สเตเดียม เป็นเหมือนการลงสนามของทีมที่จะเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ดวลกับ ทีมอะไรสักอย่างที่ไม่ต่างจากผีที่เพิ่งโดนพ่อหมอปาข้าวสารเสกใส่ จนหมดแรงที่จะหลอกชาวบ้าน และพร้อมให้หมอผีกระทำชำเราอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา
ทว่า หลังจากกลับไปสงบสติอารมณ์ 15 นาทีในห้องแต่งตัว พ่อหมอจาก โอลด์ แทรฟฟอร์ด นาม โชเซ่ มูรินโญ่ ได้ลงอาคมใส่บรรดานักเตะ พร้อมกับคำพูดปลุกเร้า
"มันเป็นคำถามถึงการรักษาความมั่นใจ การเดินหน้าขึ้นไปมากกว่าเดิม, กดดันมากขึ้น และรอประตูเกิดขึ้น"
นั่นคือสิ่งที่เขากล่าวแบบรวมๆ แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว มูรินโญ่ ชี้ไปที่จิตใจนักเตะทุกคน บรรดาลูกทีมของเขาไม่อยากเห็นเพื่อนบ้านรายนี้ฉลองต่อหน้าพวกเขา แม้จะรู้ดีว่าปีนี้เต็มที่คงทำได้เพียงบทพระรองในลีกก็ตาม แต่จะมาฉลองเกมนี้น่ะเหรือ อย่าฝันไปเลย
เช่นเดียวกับ คริส สมอลลิ่ง ที่เผยความในใจหลังจบเกม
"ในช่วงพักครึ่งเราต่างรู้สึกผิดหวังกับตัวเองมากเลย"
"ครึ่งแรกมันเป็นเกมที่แย่มาก เราหลุดหายไปและไม่สามารถเล่นในเกมของเราทำให้เราหลุดออกไปไกล"
"เขา (มูรินโญ่) ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาให้ความสำคัญถึงเรื่องที่เราไม่ต้องการให้แฟนบอลในสนามและพวกเขาชูถ้วยต่อหน้าเรา"
"เราก้าวออกไป เมื่อคุณทำผิดพลาดเช่นนั้นคุณต้องการโอกาสในการชดเชย คุณสามารถเห็นสีหน้าที่ผ่อนคลายของผม"
สิ่งต่างๆที่ถูกเผยออกมาหลังจบเกม คือเป็นปัจจัยสำคัญใน 45 นาทีหลัง ที่ เอติฮัด สเตเดียม ที่ทำให้ ผีง่อยกลุ่มหนึ่งกลายสภาพเป็น ผีห่าซาตาน ที่พลิกนรกหลอกนายท้ายเรือจนขวัญผวาและต้องสละเรือเคลือบทองไปในท้ายที่สุด
รูปเกมที่ผิดไปจนนึกว่า 'นี่มันทีมเดียวกันหรือเปล่า?' ผุดขึ้นมาในหัว ใช่ นี่คือ นักเตะทีมเดียวกันกับที่โดย ซิตี้ ถลุงแหลกในครึ่งแรก แต่พวกเขากลับเจอจุดเปลี่ยนและกด 3 ประตูรวด อย่างที่เห็นกันไป
เอาจริงๆ เลย หากไปถามใครก็ตามหลังจบ 45 นาทีแรก ทุกคนต้องจิ้มเลยว่า ครึ่งหลัง ผีแดง โดนเพิ่มแน่นอน
ดูจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่า รูปเกม, ความมุ่งมั่น, แรงกระตุ้น หรือสภาพจิตใจ นั้นต่างกันชัดเจน ใครจะไปคิดละว่า ปิศาจแดง จะกลับมาได้แบบสวยงามเช่นนั้น
นี่คือฟอร์มการเล่นที่นักเตะผีแดงต้องจดจำเอาไว้ ทั้งในช่วง 45 นาทีแรกที่ต้องจำเป็นบทเรียนชั้นดีถึงความผิดพลาดและสิ่งที่ต้องนำไปปรับปรุง หากพวกเขาอยากไปไกลกว่าฤดูกาลนี้
รวมไปถึงผลงานอันเอกอุใน 45 นาทีหลัง ที่ต้องนำไปสานต่อโดยเฉพาะแนวรุกซึ่งถ้าหากสามารถเชื่อมเกมและคลิกกันแบบนั้นได้อย่างต่อเนื่อง เชื่อเถอะว่าทีมๆนี้จะไปได้กว่านี้แน่นอน
อ้อ ส่วน จังหวะ แอชลี่ย์ ยัง เสียบใส่ เซร์คิโอ อเกวโร่ จังหวะนั้น ...
เอ่อ ... อันนี้กูไม่รู้ ลองไปถาม มาร์ติน แอตกินสัน กันเอาเอง (อิอิอิ)
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT