แปลกหน้ากลายเป็นคู่ซี้
ผมเพิ่งใช้เวลา 2 ปีครึ่งในเนเธอร์แลนด์จากการเล่นให้ พีเอสวี ไอน์โฮเฟ่น และขณะอาศัยอยู่ที่นั่นผมได้ตัดสินใจเรียนทั้งภาษาดัตช์และภาษาอังกฤษซึ่งมันยากมาก แต่ผมคิดว่ามันออกมาดีเพราะก่อนหน้านี้ผมไม่รู้อะไรเลย (หมายถึงไม่รู้อะไรเลยจริงๆ) ไปมากกว่าภาษาเกาหลีและภาษาญี่ปุ่น การมีพื้นฐานภาษาอังกฤษช่วยผมในตอนที่ย้ายไปร่วมทีมยูไนเต็ดเมื่อปี 2005 เพราะผมอยากสื่อสารกับนักเตะคนอื่นๆ และนั่นคือสิ่งที่สำคัญสำหรับผมในการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของสโมสร
ในตอนแรก มีนักเตะสองคนที่มีส่วนช่วยให้ผมปรับตัวได้ดีเป็นอย่างมาก และพวกเขาต่างเป็นผู้เล่นชาวดัตช์: รุด ฟาน นิสเตลรอย และ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์
เอ็ดวิน ย้ายมาร่วมทีมเกือบจะในเวลาเดียวกับผมซึ่งเกิดขึ้นในตลาดซื้อขายนักเตะช่วงเดียวกัน เขาเคยมีประสบการณ์ในเวทีพรีเมียร์ลีกมาก่อนตอนเล่นให้ ฟูแล่ม และทาง รุด อยู่กับสโมสรมานานพอสมควร เขาอธิบายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสโมสรให้ผมฟังได้อย่างยอดเยี่ยม การได้อยู่ที่เนเธอร์แลนด์มาก่อนช่วยผมได้มากเช่นกัน โดยเฉพาะกับ รุด เพราะว่าเขาเคยเล่นที่ พีเอสวี ผมไม่ได้พูดว่าตอนนั้นภาษาอังกฤษของผมดีมากมายอะไร แต่มันดีกว่าภาษาดัตช์ของผม ดังนั้นเราจึงใช้ภาษาอังกฤษคุยกัน และพวกเขาทั้งสองช่วยผมให้ปรับตัวได้เป็นอย่างมาก
ภาษาถือเป็นความแตกต่างหลักๆ ระหว่างอังกฤษและเนเธอร์แลนด์ ดังนั้นนั่นคือปัญหาใหญ่ในการปรับตัวเพียงเรื่องเดียวของผม ซึ่งผมพัฒนาไปอย่างช้าๆ ตามเวลาที่ดำเนินไปเรื่อยๆ การเรียนรู้ด้านภาษา, เรียนรู้การเล่นฟุตบอลของอังกฤษว่าเป็นแบบไหน และเรียนรู้ถึงความหมายในการเล่นให้ ยูไนเต็ด
ไม่กี่เดือนต่อมาหลังจากผมย้ายมาร่วมทีม ชายฝรั่งเศสตัวเล็กคนหนึ่งก็โผล่เข้ามา
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้พูดคุยกับ ปาทริซ เอฟร่า เพราะในตอนที่ผมลงเล่นให้ พีเอสวี เราเคยดวลกันตอนที่เขาเป็นนักเตะ อาแอส โมนาโก บนเวที แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นรอบ 16 ทีมสุดท้าย ดังนั้นผมจึงรู้จักเขาจากเกมนั้น
ตอนแรกเราไม่ได้สนิทกัน เขาก็เพิ่งย้ายมาร่วมทีม ผมเพิ่งย้ายไปอยู่ที่นั่นได้ราวๆ 6 เดือน และในทีมก็มีนักเตะฝรั่งเศสช่วยให้เขาปรับตัวเช่นกันทั้ง หลุยส์ ซาฮา และ มิกาแอล ซิลแวสต์ ที่มีช่วยเหลือเขาอย่างมาก
ในตอนแรกๆ เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน หลังจากนั้น ผมไม่ทราบจริงๆ ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เราก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นอย่างช้าๆ เขาย้ายไปที่ อัลเดอร์ลี่ย์ เอดจ์ และต่อมาเขาก็แนะนำผมให้ย้ายไปที่นั่นด้วย มันทำให้เราอาศัยใกล้กันรวมถึงการที่พวกเราต่างชอบเล่นวิดีโอเกม ในตอนนั้นผมคิดว่าพวกเราเล่นเกม โปร อีโวลูชั่น ซอคเกอร์ (PES) ซึ่งตอนที่เราเริ่มเล่นเกม พวกเราต่างใช้เวลาด้วยกันเพื่อทานอาหารเย็นในบ้านของใครคนหนึ่ง รวมไปถึงเล่นเกม พวกเราเริ่มสนิทกันมากขึ้นผ่านสิ่งเหล่านั้น ผมไม่ได้พูดภาษาฝรั่งเศส เขาก็ไม่ได้พูดภาษาเกาหลี และภาษาอังกฤษของพวกเราก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย ดังนั้นผมเลยเดาว่าภาษาฟุตบอลเป็นสิ่งช่วยพวกเรา
ปาทริซ เป็นคนเสียงดัง ทุกๆ คนรู้เรื่องนั้น บางทีอาจจะเป็นท็อป 3 ในกลุ่ม ริโอ, แกรี่, ปาทริซ ผมคิดว่าทุกๆ คนอาจจะเดาว่าสามคนนี้เสียงดังที่สุดในห้องแต่งตัว
ดังนั้น ผมจึงไม่ทราบจริงๆ ว่าระหว่างผมกับ ปาทริซ กลายมาเป็นเพื่อนซี้กันได้อย่างไร แต่มันก็เกิดขึ้น จากนั้นในตอนที่ คาร์ลอส เตเวซ ย้ายมาร่วมทีมเมื่อปี 2007 พวกเราทั้งสามคนกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ผมไม่รู้สาเหตุ
เขาพูดภาษาสเปน ปาทริซก็พูดภาษาสเปนได้เช่นกัน และทันใดนั้นเราก็เป็นเพื่อนกัน หลังจากการซ้อมเราจะเล่นการยิงสองจังหวะในสนามด้วยกัน และจากนั้นมันเริ่มเป็นสิ่งที่พวกเราทำในทุกๆ ครั้งไม่ว่าจะในหรือนอกสนาม แม้ว่าผมจะไม่สามารถสื่อสารกับคาร์ลอส เพราะว่าผมไม่สามารถพูดภาษาสเปนได้และตอนนั้นเขาก็พูดอังกฤษไม่ได้ ปาทริซ เลยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแปลบทสนทนาของพวกเราทั้งหมด
เราจะเลือกเอาคำบางคำจากภาษาของแต่ละคน (เกาหลี, ฝรั่งเศส, สเปน) แต่มีแค่ไม่กี่คำเท่านั้น บางครั้งก็เป็นคำพูดที่ไม่ดี แต่หลักๆ แล้วเราพูดอังกฤษ และ ปาทริซ จะเป็นคนแปลเมื่อเขาต้องการ เพราะผมคิดว่า คาร์ลอส พูดอังกฤษได้แต่เขาไม่อยากพูด
ทุกๆ ครั้งที่เราทานอาหารเย็นด้วยกันที่โรงแรม หรือแม้แต่ระหว่างอบอุ่นร่างกายก่อนเกม เราทั้งสามก็อบอุ่นร่างกายด้วยกัน พวกเราก็แค่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นบนเครื่องบินสำหรับการออกไปเล่นเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก, การเดินทางด้วยรถไฟในเกมที่ต้องออกไปเยือนในอังกฤษ พวกเราก็จะนั่งอยู่ด้วยกันเสมอ มันเกิดขึ้นอย่างอย่างราบรื่น และแม้ว่าเราจะไม่ได้พูดภาษาเดียวกันแต่ก็มีความสุขไปด้วยกัน เราทุกคนต่างอบอุ่นใจ ทุกๆ คนจะรู้สึกสบายใจกับใครบางคน และแม้ว่าเราจะไม่ได้สื่อสารกันโดยตรง พวกเราก็แค่รู้สึกอบอุ่นใจระหว่างพวกเราทั้งสาม
สภาพแวดล้อมช่วยได้มากเช่นกัน เพราะว่าเราทั้งสามคนต่างมีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทีม มันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ สำหรับผมไม่ว่าจะทั้งในหรือนอกสนาม เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและบางครั้งเราใช้เวลาร่วมกันมากกว่าที่เราให้กับครอบครัวตนเอง ในสถานการณ์นั้น หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด: คือความรู้สึกพิเศษกับนักเตะคนอื่นๆ
เราเป็นมืออาชีพ เรารู้ว่าเราต้องทำอะไรและต้องทำมันแบบไหน จากนั้นเราก็เอาชนะในเกมสำคัญมากมาย คว้าแชมป์มาครองมากมาย และแบ่งปันช่วงเวลาเหล่านั้นร่วมกับคนอื่นๆ ยกตัวอย่างสำหรับผม ปาทริซ และ คาร์ลอส แสดงให้เห็นถึงบรรยากาศห้องแต่งตัวของ ยูไนเต็ด ณ ตอนนั้น เราไม่ได้มาจากประเทศเดียวกัน เรามาจากทั่วทุกมุมโลก, นักเตะจากเอเชีย, ยุโรป, อเมริกาใต้ แต่นักเตะทั้งสามกลายมาเป็นเพื่อนที่สนิทกัน นั่นแสดงให้เป็นถึงความเป็นไปของห้องแต่งตัว มันแสดงให้เห็นว่าทุกๆ คนเป็นคนดีเช่นไร นั่นคือวิธีที่ทำให้เราประสบความสำเร็จในตอนนั้น
เราคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกหลายสมัย และเข้ารอบชิงชนะเลิศหลายครั้ง และที่กรุง มอสโก ซึ่งเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ผมเสียใจมากที่สุดเมื่อพบว่าตนเองไม่ได้อยู่ในทีมที่จะดวลกับ เชลซี ในรอบชิงชนะเลิศ ทุกๆ คนยอดเยี่ยมมาก แต่ผมยังจำได้ดีโดยเฉพาะ ปาทริซ และ คาร์ลอส ที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจ ผมเศร้าจริงๆ แต่พวกเขาเข้ามากอดผม จากนั้นผมอ่านสีหน้าของพวกเขาและรู้ได้ว่าพวกเขารู้สึกไม่พอใจและรู้สึกเศร้า พวกเขาต้องการแบ่งปันช่วงเวลากับผม ร่วมกับเพื่อนของพวกเขา ดังนั้นผมรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมากกับสิ่งที่พวกเขาแสดงออกมา แต่เราจะทำอะไรได้ล่ะ? ก่อนหน้านั้นผมไม่พอใจ แต่หลังจากนั้นเมื่อเริ่มการแข่งขันผมก็แค่ภาวนาให้ทีมของเราชนะ นั่นคือสถานการณ์ของพวกเรา บรรยากาศในห้องแต่งตัวของพวกเราเป็นแบบนั้น หลังจากทุกๆ อย่างจบลง เราคว้าถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งไม่มีใครมาต่อว่ากันและกัน
ผมรู้สึกสนุกเพียงครึ่งเดียวในช่วงการฉลอง มันเป็นความรู้สึกที่แปลกๆ ในหัวของผมเข้าใจได้ดีว่าเราคว้าแชมป์ยุโรปมาครอง แต่ในหัวใจของผมไม่สามารถรู้สึกเช่นนั้นได้ ดังนั้นมันจึงเป็นความรู้สึกที่ผสมปนเป ผมมีความสุขจริงๆ ที่เราประสบความสำเร็จและคว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เราต้องทำ และผมรู้ว่ามันไม่ใช่แค่ตัวผมเท่านั้น มีนักเตะคนอื่นๆ ในทีมที่ไม่ได้ลงเล่น เรามีนักเตะ 25 คนหรือมากกว่านั้นที่อยากอยู่ในทีม และมีเพียง 18 รายที่สามารถทำได้ ดังนั้นผมรู้ว่าไม่ใช่มีแค่ผม นั่นคือทีม คุณก็รู้
สำหรับผม ผมรู้สึกภูมิใจอย่างมากที่ได้ทำบางสิ่งในการช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จ แต่นักเตะทุกๆ คนรู้ว่าพวกเขาต้องทำงานของตนเอง แม้ว่าผมจะไม่ได้อยู่ในรายชื่อของผู้จัดการทีมที่มอสโก นั่นหมายความว่ามีบางสิ่งที่ผมต้องพัฒนาตนเอง ถ้าคุณเสียบางสิ่งไปคุณก็ต้องมองหาหนทางในการประสบความสำเร็จครั้งต่อไป ผมทำได้ เพราะปีถัดมาเราเข้ารองชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง และครั้งนั้นผมลงเล่นเป็นตัวจริง แต่โชคร้ายที่เราไม่ชนะ!
หลังจากนั้น คาร์ลอส จากทีมไปและมันกลายมาเป็นสิ่งที่แปลกมากๆ พวกเราอยู่ด้วยกันเสมอ ในตอนที่เขาจากทีมไปมันมีช่องว่างที่เขาเคยอยู่ ผมและปาทริซพูดถึงเรื่องนั้นตลอด คิดเสมอว่าทำไมเขาถึงย้ายไปร่วมทีม (แมนฯ) ซิตี้ เพราะพวกเราคิดถึงเขา แต่นั่นคือฟุตบอล คุณไม่สามารถมีนักเตะแบบเดิมที่เล่นร่วมกับคุณไปตลอดจนถึงช่วงที่เลิกเล่น เรารู้ว่าวันหนึ่งเราก็ต้องแยกทาง แต่สำหรับพวกเรามันเกิดขึ้นหลังจากผ่านไปได้เพียงสองปี เราเคยภาวนาว่าจะอยู่ด้วยกันนานกว่านี้ แต่นั่นคือชีวิตในวงการฟุตบอลและเราต้องยอมรับมัน
ไม่นานก่อนที่ คาร์ลอส จะกลับมาที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด พร้อมกับ ซิตี้ และนั่นคือวันที่ผิดปกติไปจากเดิมอย่างมากของพวกเรา แม้แต่ช่วงอบอุ่นร่างกายก็รู้สึกแปลกๆ เราเคยอยู่ด้วยกันมาตลอด พวกเราสามคนอบอุ่นร่างกายด้วยกัน จากนั้นในช่วงก่อนเกม พวกเรากำลังลงอบอุ่นร่างกายอยู่คนละฝั่งสนาม มีเพียงแค่ผมกับ ปาทริซ ที่อยู่ด้วยกัน และเราก็เห็น คาร์ลอส อยู่ตรงนั้นกับทีมใหม่ ครั้งแรกที่พวกเราเห็นเขามันทำให้รู้สึกแปลกไป แต่จากนั้นมันหายวับเพราะเราคือมืออาชีพ เรารู้ว่าเราต้องมีสมาธิกับเกม เราต้องชนะ หลังจากนั้นเราโผกอดเพื่อนของเราและได้พูดคุยกับเขา แต่ระหว่างเกม งานหลักของพวกเราคือเกมดาร์บี้ และเราต้องชนะ สำหรับฟุตบอลมันก็แค่ต้องเดินหน้าต่อไป
นักเตะที่เหลือในทีมทำให้แปลกใจเสมอ พวกเขาถามเสมอว่า "เป็นไงบ้างพวก?" แต่พวกเราไม่เคยตอบพวกเขากลับไป! มันเกิดขึ้นไปตามธรรมชาติ มันคือความรู้สึกที่พวกเรามี นี่คือบางสิ่งที่พิเศษ เราสนุกกับมันและผมคิดว่าทุกๆ คนสนุกที่ได้ดูพวกเราและแปลกใจว่าทำไมเราถึงสนิทกันขนาดนี้ พวกเขาเอาใจใส่เราเสมอ หัวเราะร่วมกับพวกเราตลอด และผมคิดว่าพวกเขาชอบความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในทีม
พวกเขายิงมุกตลกใส่พวกเราเสมอ และนั่นคือจุดหนึ่งที่ทำให้เรามีชื่อเล่น
'Rush Hour'
ในตอนนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลก มีบางคนในโลกอินเทอร์เน็ตทำรูปขึ้นมา: ด้วยการใส่หัวของพวกเราลงโปสเตอร์ของภาพยนตร์ หัวของผมอยู่ที่ แจ็คกี้ ชาน และของ ปาทริซ อยู่ที่ คริส ทัคเกอร์ เราชอบมันนะ เราคิดมันว่าสนุกและเราก็แค่หัวเราะไปกับมัน ทุกๆ คนในห้องแต่งตัวรักมันด้วย
เรามีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยม แต่อย่างที่ผมเคยพูดไป คุณไม่สามารถใช้เวลากับนักเตะคนเดิมๆ ไปทั้งช่วงชีวิตนักเตะ และในปี 2012 ผมต้องอำลา ยูไนเต็ด นั่นเป็นสิ่งที่แปลกปนเศร้ามากๆ และเป็นเรื่องยากมากๆ สำหรับผม 7 ปีคือช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดที่ผมใช้เวลาในแต่ละสโมสรของผม แต่นั่นเป็นช่วงเวลาที่ผมต้องอำลา
มันเป็นเรื่องยากในการบอกกับ ปาทริซ ... ว้าว นั่นเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ ผมรู้สึกเสียใจ เรามีเอเย่นต์คนเดียวกันและเขารู้ว่าทุกๆ อย่างกำลังดำเนินไป เขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่นั่นไม่ได้ทำให้ง่ายไปกว่าเดิมเลย
เขาเศร้าอย่างมาก
เขาพูดว่า "แล้วฉันจะอบอุ่นร่างกายกับใคร?"
ทุกๆ ครั้งที่เขาลงเล่น คนนั้นๆ คือผม ผมอยู่กับเขามาตลอดในช่วงเวลาที่ลงเล่นให้ยูไนเต็ด ดังนั้นพวกเราพูดถึงทุกๆ เรื่อง และพวกเรารู้สึกเศร้าใจ แต่ท้ายที่สุด เขาอวยพรให้ผมโชคดีและจากนั้นผมก็แยกทางออกมา
แน่นอนว่าเรายังคงเป็นเพื่อนกัน และเขาได้มาร่วมงานแต่งงานของผมในอีก 2 ปีถัดมา ในตอนนั้นเขาไปอยู่ที่อเมริกา ดังนั้นมันจึงเป็นกรณีพิเศษที่เขาเดินทางไปยังเกาหลีใต้และจากนั้นเดินทางตรงกลับไปยังฝรั่งเศส เขาอยู่แค่วันเดียว และนั่นเป็นการเดินทางหนึ่งวันที่ยาวนาน เขาเดินทางไปเกาหลีใต้ 1-2 ครั้งเพื่อร่วมงานกับผม ดังนั้นผมจึงประทับใจอย่างมาก
บางครั้งเราก็นัดไปทานอาหารเที่ยงและเย็นในกรุงลอนดอน หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่เราอยู่ด้วยกัน เราคุยกันผ่านโทรศัพท์หรือส่งข้อความหากันและกัน เราสานต่อความสัมพันธ์ที่คงทนของเราแบบนี้ต่อไปไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน การได้เจอเขาคือหนึ่งในเรื่องผมรู้สึกยินดีมากที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต ปาทริซ คือเพื่อนร่วมทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่ต้องบอกตรงๆ ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น ผมคิดว่าเขาคือเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตของผม
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT