:::     :::

เมื่อ 'อีโก้' สูงกว่าฝีเท้า

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2567 คอลัมน์ ผีตัวที่ 13 โดย โกสุ่ย
536
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ณ ช่วงเวลาที่สื่อรายงานว่า รูเบน อาโมริม พร้อมทำงานร่วมกับ มาร์คัส แรชฟอร์ด และปรารถนาเรียกฟอร์มเก่งของหัวหอกชาวอังกฤษให้กลับมาเปรี้ยงปร้างอีกครั้ง บรรดาแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างตั้งความหวังไว้สูงลิบ

มันควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะ 'แรชชี่' คือนักเตะที่ทำประตูแรกในยุคอาโมริม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างจากดอกไม้ไฟที่สว่างวาบเพียงชั่วครู่และดับหายเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน

แถมตอนนี้ทุกอย่างดูเลวร้ายกว่าเดิมหลังจากเหตุการณ์ถูกตัดชื่อในเกมปะทะ แมนฯ ซิตี้

ในฐานะ 'คู่จิ้น' ตั้งแต่สัปดาห์แรก ทว่าสถานะล่าสุดกลับกลายเป็นคนที่ห่างเหินและมีแนวโน้มแย่ไปกว่านั้นเพราะต่างฝ่ายต่างยึดมั่นในแนวทางของตนเอง

อาโมริม เชื่อว่านักเตะทุกคนต้อง 'เคารพ' แนวทางของตนของ และต้อง 'ทำงาน' เพื่อพิสูจนคุณค่าของตัวเองเพื่อก้าวมาเป็น 11 คนแรกในแต่ละนัด ทุกคนสามารถหลุดออกจากทีมหากถูกประเมินว่าทัศนคติหรือผลงานไม่เป็นตามที่วางไว้ แต่คนเหล่านั้นสามารถกลับมาสู่ทีมได้ตลอดหากยอมรับและแก้ไขความผิดพลาดให้ดีขึ้น

สำหรับ อาโมริม 'ผลลัพธ์' ที่เขาต้องการคือความมุ่งมั่น ทุ่มเท ตั้งใจ และความกระหายที่นักเตะต้องการพิสูจน์ว่าดีพอในการลงเล่นให้ทีมของเขา

นั่นจึงเป็นสาเหตุในการตัดชื่อ แรชฟอร์ด ออกจากเกม แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ เช่นเดียวกับ อเลฮานโดร การ์นาโช่

จากการตีความผ่านปากคำของกุนซือใหญ่ชาวโปรตุเกสพิสูจน์ให้เห็นถึงแนวทางอันชัดเจน 'คนที่ทำงานหนักจะได้รับผลตอบแทน' หรือเป็นการบอกแบบอ้อม ๆ ว่า 'พร้อมเปิดโอกาสให้คนที่ตั้งใจพิสูจน์คุณค่า แต่หากใครไม่พอใจแนวทางก็เชิญตามสบาย'

จะว่าแรงก็แรง จะว่าแข็งเกินไปก็ใช่ แต่มันคือแนวทางของ อาโมริม ที่มองว่าจะเป็นวิธีทำให้ 'สโมสร' เดินหน้าไปสู่เส้นทางที่ควรเป็น เปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินงานจากที่เคยทำ เปลี่ยนรูปแบบและขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อยู่ที่นักเตะด้วยว่าจะพร้อมปรับตัวและรับสิ่งใหม่ ๆ หรือไม่

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ แรชฟอร์ด จึงเป็นทั้งการส่งสัญญาณไปยังกองหน้าวัย 27 ปี รวมถึงผู้เล่นคนอื่น ๆ ว่าต้องพร้อมปรับตัวอยู่เสมอ และอย่าทำตัวเหมือน 'Deadwood' ที่ไม่มีความกระตือรือร้น หรือแรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง

ในยุคที่ฟุตบอลเน้นระบบการเล่นมากกว่าความสามารถของผู้เล่นคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ ทำให้ผู้เล่นทุกคนแทบจะมีโอกาสลงสนามเท่า ซึ่งปัจจัยอยู่ที่ว่าคนคนนั้นจะสามารถตอบสนองคำสั่งหรือเล่นตามแท็กติกตามที่กุนซือต้องการได้มากน้อยเพียงใด

กระนั้นกรณีของ แรชฟอร์ด ที่ อาโมริม พร้อมเปิดโอกาสคืนทีมอีกครั้ง กลับกลายเป็นว่ามีแต่จะแย่ลงหลังจากนักเตะดันปากไวให้สัมภาษณ์ทิ้งระเบิด

สิ่งนี้แสดงถึงวุฒิภาวะที่ติดลบ เพราะแทนที่จะเดินเข้าไปคุยกับ อาโมริม โดยตรง ดันหันไปพึ่งสื่อ (ซึ่งพร้อมจะนำมาขยายความให้แย่ลง) แถมกระแสในโซเชียล มีเดีย ดันดีกลับ หันไปโจมตี แรชฟอร์ด มากกว่าจะออกมาสนับสนุน

ทำให้สถานการณ์เลวร้ายหนักกว่าเดิม ซึ่งเรื่องราวนี้ดูเหมือนจะพุ่งตรงไปสู่เส้นทางที่ต้องแยทางกหาก แรชฟอร์ด ยังคงติดงอนไม่ยอมคุยและปรับความเข้าใจกับโค้ชโดยตรง หรือยอมรับว่าตนเองยังมีเรื่องให้พัฒนาและต้องปรับปรุงการเล่นอีกมากมาย

หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป แรชฟอร์ด ก็คงกลายเป็นนักเตะอีกรายที่โดน 'อีโก้' กลืนกิน โดน 'อีโก้' บดบังสายตาจนมองไม่เห็นความเป็นจริง มองเห็นแค่ภาพของตนเองสะท้อนออกมา และหมดอนาคตในรั้ว โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในที่สุด

หลังจากนี้จึงเป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของ แรชฟอร์ด ว่าจะยอปรับตัวและแก้ไขแนวทางการทำงานให้ดีขึ้น หรือจะปักหลักยืนตระหง่านบนหอคอยที่ชื่อว่า 'อีโก้' ของตนเองต่อไป

รีบแก้ไขปรับปรุงตัวในตอนที่ยังมีเวลา หรือยังคงยึดมั่นว่า 'ข้านี่แหละคือศูนย์กลางของจักรวาล' ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ แรชฟอร์ด จะเลือกเส้นทางใดให้ตนเอง




คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด