เมื่อ 'อีโก้' สูงกว่าฝีเท้า
มันควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะ 'แรชชี่' คือนักเตะที่ทำประตูแรกในยุคอาโมริม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างจากดอกไม้ไฟที่สว่างวาบเพียงชั่วครู่และดับหายเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน
แถมตอนนี้ทุกอย่างดูเลวร้ายกว่าเดิมหลังจากเหตุการณ์ถูกตัดชื่อในเกมปะทะ แมนฯ ซิตี้
ในฐานะ 'คู่จิ้น' ตั้งแต่สัปดาห์แรก ทว่าสถานะล่าสุดกลับกลายเป็นคนที่ห่างเหินและมีแนวโน้มแย่ไปกว่านั้นเพราะต่างฝ่ายต่างยึดมั่นในแนวทางของตนเอง
อาโมริม เชื่อว่านักเตะทุกคนต้อง 'เคารพ' แนวทางของตนของ และต้อง 'ทำงาน' เพื่อพิสูจนคุณค่าของตัวเองเพื่อก้าวมาเป็น 11 คนแรกในแต่ละนัด ทุกคนสามารถหลุดออกจากทีมหากถูกประเมินว่าทัศนคติหรือผลงานไม่เป็นตามที่วางไว้ แต่คนเหล่านั้นสามารถกลับมาสู่ทีมได้ตลอดหากยอมรับและแก้ไขความผิดพลาดให้ดีขึ้น
สำหรับ อาโมริม 'ผลลัพธ์' ที่เขาต้องการคือความมุ่งมั่น ทุ่มเท ตั้งใจ และความกระหายที่นักเตะต้องการพิสูจน์ว่าดีพอในการลงเล่นให้ทีมของเขา
นั่นจึงเป็นสาเหตุในการตัดชื่อ แรชฟอร์ด ออกจากเกม แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ เช่นเดียวกับ อเลฮานโดร การ์นาโช่
จากการตีความผ่านปากคำของกุนซือใหญ่ชาวโปรตุเกสพิสูจน์ให้เห็นถึงแนวทางอันชัดเจน 'คนที่ทำงานหนักจะได้รับผลตอบแทน' หรือเป็นการบอกแบบอ้อม ๆ ว่า 'พร้อมเปิดโอกาสให้คนที่ตั้งใจพิสูจน์คุณค่า แต่หากใครไม่พอใจแนวทางก็เชิญตามสบาย'
จะว่าแรงก็แรง จะว่าแข็งเกินไปก็ใช่ แต่มันคือแนวทางของ อาโมริม ที่มองว่าจะเป็นวิธีทำให้ 'สโมสร' เดินหน้าไปสู่เส้นทางที่ควรเป็น เปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินงานจากที่เคยทำ เปลี่ยนรูปแบบและขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อยู่ที่นักเตะด้วยว่าจะพร้อมปรับตัวและรับสิ่งใหม่ ๆ หรือไม่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ แรชฟอร์ด จึงเป็นทั้งการส่งสัญญาณไปยังกองหน้าวัย 27 ปี รวมถึงผู้เล่นคนอื่น ๆ ว่าต้องพร้อมปรับตัวอยู่เสมอ และอย่าทำตัวเหมือน 'Deadwood' ที่ไม่มีความกระตือรือร้น หรือแรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง
ในยุคที่ฟุตบอลเน้นระบบการเล่นมากกว่าความสามารถของผู้เล่นคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ ทำให้ผู้เล่นทุกคนแทบจะมีโอกาสลงสนามเท่า ซึ่งปัจจัยอยู่ที่ว่าคนคนนั้นจะสามารถตอบสนองคำสั่งหรือเล่นตามแท็กติกตามที่กุนซือต้องการได้มากน้อยเพียงใด
กระนั้นกรณีของ แรชฟอร์ด ที่ อาโมริม พร้อมเปิดโอกาสคืนทีมอีกครั้ง กลับกลายเป็นว่ามีแต่จะแย่ลงหลังจากนักเตะดันปากไวให้สัมภาษณ์ทิ้งระเบิด
สิ่งนี้แสดงถึงวุฒิภาวะที่ติดลบ เพราะแทนที่จะเดินเข้าไปคุยกับ อาโมริม โดยตรง ดันหันไปพึ่งสื่อ (ซึ่งพร้อมจะนำมาขยายความให้แย่ลง) แถมกระแสในโซเชียล มีเดีย ดันดีกลับ หันไปโจมตี แรชฟอร์ด มากกว่าจะออกมาสนับสนุน
ทำให้สถานการณ์เลวร้ายหนักกว่าเดิม ซึ่งเรื่องราวนี้ดูเหมือนจะพุ่งตรงไปสู่เส้นทางที่ต้องแยทางกหาก แรชฟอร์ด ยังคงติดงอนไม่ยอมคุยและปรับความเข้าใจกับโค้ชโดยตรง หรือยอมรับว่าตนเองยังมีเรื่องให้พัฒนาและต้องปรับปรุงการเล่นอีกมากมาย
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป แรชฟอร์ด ก็คงกลายเป็นนักเตะอีกรายที่โดน 'อีโก้' กลืนกิน โดน 'อีโก้' บดบังสายตาจนมองไม่เห็นความเป็นจริง มองเห็นแค่ภาพของตนเองสะท้อนออกมา และหมดอนาคตในรั้ว โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในที่สุด
หลังจากนี้จึงเป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของ แรชฟอร์ด ว่าจะยอปรับตัวและแก้ไขแนวทางการทำงานให้ดีขึ้น หรือจะปักหลักยืนตระหง่านบนหอคอยที่ชื่อว่า 'อีโก้' ของตนเองต่อไป
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT