กำแพงที่สูงลิบ
ตอนนี้เหลืออีก 6 คู่ กับอีก 6 ทีมที่จะได้ไปต่อในรอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งหลังจากผ่านพ้นวันอังคารนี้ไป โฉมหน้าของบรรดา 8 ทีมที่เหลืออยู่ก็จะปรากฏ
สำหรับแฟนบอลชาวเอเชียคงมีแอบแบ่งใจปันเชียร์ ญี่ปุ่น อยู่เช่นกัน เพราะนี่คือ 1 เดียวที่เหลือรอดในเวลานี้ แต่เส้นทางของ ซามูไร บลูส์ กลับถูก 1 ในเต็งแชมป์อย่าง เบลเยียม ขวางทางอยู่
ตามหน้าเสื้อหรือชื่อชั้น ปิศาจแดงแห่งยุโรป เป็นต่อชนิดที่ทิ้งไม่เห็นฝุ่น แค่กาง 11 นักเตะตัวจริงก็แทบจะกินขาด ไม่นับรวมตัวสำรองที่ชื่อชั้นบางรายไม่ได้ด้อยไปกว่าบรรดาตัวจริง
รวมไปถึงดีกรีและต้นสังกัดนักเตะของแต่ละฝั่งก็ยังดูห่างชั้น เพราะบรรดาแกนหลักของ เบลเยียม ล้วนแล้วแต่ลงเล่นให้กับทีมใหญ่ในสโมสรชั้นนำของยุโรปแทบทั้งสิ้น
ยังมีผลงานใน 3 นัดของรอบแบ่งกลุ่มที่ไม่ต้องพูดถึงเนื่องจาก เบลเยียม มีค่าเฉลี่ยยิงประตูดีที่สุด ตกนัดละ 3 ประตู (ชนะ ปานามา 3-0, ชนะ ตูนิเซีย 5-2 และ ชนะ อังกฤษ 1-0) ด้วยกัน
ต่างจาก ญี่ปุ่น ที่เข้ารอบมาแบบทุลักทุเลด้วย กฎ 'แฟร์เพลย์' แม้ว่าพวกเขาจะมีนักเตะที่มีชื่อชั้นพอตัวไม่ว่าจะเป็น ชินจิ คางาวะ, เคสึเกะ ฮอนดะ, มายะ โยชิดะ หรือ ยูโตะ นางาโตโมะ ที่พอคุ้นหูแฟนบอลบ้านเรา แต่จากผลงานในเกมสุดท้าย (ที่ปรับทีมหลายตำแหน่ง) ยังแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อนล้ำกันอยู่ และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาต้องพยายามอุดให้ได้
ยิ่งในรอบ 16 ทีมสุดท้ายต้องมาเจอกับของจริงอย่าง เบลเยียม (แน่นอนว่า ญี่ปุ่น จะกลับมาใช้ทีมที่ดีที่สุด) นี่จะเป็นบททดสอบว่าพวกเขามีดีเพียงใด และจะเป็นด่านสำคัญในการก้าวไปสร้างประวัติศาสตร์
หลายฝ่ายมองว่า เบลเยียม จะเอาชนะได้แบบสบายๆ และตบเท้าเข้ารอบต่อไปแบบไม่มีปัญหา ใช่ จุดนี้คงไม่มีใครโต้แย้ง แต่ในเกมฟุตบอลบางครั้งมันก็มีอะไรมากกว่าความสามารถ และยังมีปัจจัยอื่นๆที่จะมาตัดสินเกม
"ความสามารถรายบุคคลพวกเขาดีกว่าแน่นอน นั่นคือสิ่งที่ยืนยันได้ 100 เปอร์เซ็นต์กับเรื่องนี้" มายะ โยชิดะ กองหลังตัวเก่งของ ซามูไร บลูส์ ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
"แต่ในฐานะกลุ่มเราสามารถสร้างความแตกต่าง บางครั้ง 'ความเป็นหนึ่งเดียว' ก็สามารถเอาชนะความสามารถรายบุคคล ดังนั้นผมหวังว่าพวกเราจะสามารถจัดการในฐานะทีมกันได้ดี"
ด้วยการที่ เบลเยียม ชุดนี้ถูกมองว่าเป็น 'ยุคทอง' และมีโอกาสไปได้ไกลในเวทีระดับโลก โดยเฉพาะบรรดาแกนหลักที่ค้าแข้งใน พรีเมียร์ลีก อาทิ โรเมลู ลูกากู, เอแด็น อาซาร์, เควิน เดอ บรอยน์, ติโบต์ กูร์กตัวส์ หรือ 3 แนวรับอย่าง แว็งซ็องต์ ก็องปานี, ยาน แฟร์ต็องเก้น และ โทบี้ อัลเดร์แวเรลด์ ที่ต่างมีผลงานที่ยอดเยี่ยมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
นักเตะที่ว่าจะพร้อมที่จะคุกคาม ญี่ปุ่น ในทุกพื้นที่ของสนาม และพร้อมที่จะสร้างปัญหาในทุกจังหวะเข้าทำ
ทว่า โยชิดะ ที่มีประสบการณ์ในการปะทะกับนักเตะที่ว่ามา ก็พร้อมที่จะส่งต่อประสบการณ์ของตนเองไปยังเพื่อนร่วมทีม
"แน่นอนว่า ผมจะให้คำแนะนำกับเพื่อนร่วมทีมของผม แต่พวกเขาก็รู้ดีอยู่แล้วถึงความยากในการรับมือกับคู่แข่ง" กองหลังจาก เซาธ์แฮมป์ตัน ระบุ
"พวกเขารู้ดีว่าโอกาสเพียง 1 ครั้งสามารถสร้างความแตกต่าง และเราต้องสู้ในฐานะกลุ่ม นั่นคือกุญแจสำคัญของเกมที่กำลังจะมาถึง"
ทีมซามูไรรู้ตัวเองดีและไม่เคยที่จะผยองหรืออวดดีในการเจอกับทีมที่ดีกว่า พวกเขามองไปถึงรายละเอียดในทีม พยายามดึงเอาส่วนที่ดีที่สุดออกมาเพื่อเป็นอาวุธในการต่อกร
นอกจากนี้ยังรวมเอาประสบการณ์ของทุกๆคนมารวมกันเพื่อหาวิธีการ หรือนำมุมมองในการเล่นใส่ลงไปในด้านแท็คติก เพื่อทำให้การเตรียมพร้อมออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
แม้จะรู้ตัวดีว่าเป็นรอง แต่ถ้ายังไม่ลงไปสู้ก็ยังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถึงจะโดนดูถูกวว่าเป็นรอง แต่ฟุตบอลคือเกมที่เล่นกันเป็นทีม และอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้
"ในชีวิตของคุณต้องการ 'โชค' อยู่เสมอ" โยชิดะ กล่าว
"การข้ารอบก่อนรองชนะเลิศคือความฝันของผม และนั่นคือเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของพวกเราในรายการนี้ ถ้าเราสามารถเอาชนะได้ มันก็จะกลายเป็นฝันที่เป็นจริง มันจะเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์วงการฟุตบอล ญี่ปุ่น"
เส้นทางของ ญี่ปุ่น กำลังจะถูกตัดสินในวันที่ 2 กรกฎาคมนี้
อุปสรรคที่ขวางอยู่อาจจะเป็นกำแพงที่สูงลิบ และยากเกินกว่าที่จะปีนข้ามไป แต่สิ่งสำคัญคือความพยายามในการที่จะผ่านไป
หากพยายามหรือสู้แล้วยังร่วงหล่นลง ก็ยังดีกว่าไม่ได้สู้หรือพยายาม และยอมรับชะตาตั้งแต่เกมยังไม่เริ่ม
เชื่อเถอะว่า นักเตะสายเลือดบูชิโดจะสู้ยิบตาตลอด 90 นาทีอย่างแน่นอน ...
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT