:::     :::

ความทรงจำที่ 'อัมสเตอร์ดัม'

วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2562 คอลัมน์ ฟุตบอลข้างถนน โดย โกสุ่ย
2,012
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
วินาทีที่มีการประกาศเรื่องการย้ายทีมของ เฟร์นานโด ตอร์เรส ไปยัง เชลซี เมื่อปลายเดือนมกราคมปี 2011 อารมณ์ของแฟนบอลแบ่งเป็นสองขั้ว

สำหรับสาวกสิงโตน้ำเงินคราม นี่คือการเสริมทัพในฝันของพวกเขา เพราะตอนนั้นไม่ต่างจากการได้กองหน้าลำดับต้นๆของโลกมาไว้ในครอบครอง ต่างจากแฟนบอล ลิเวอร์พูล ที่ยังคงงุนงงและโกรธแค้นที่นักเตะอันเป็นที่รักของสโมสรเลือกขายวิญญาณให้คู่แข่ง

ความรู้สึกต่างกันชัดเจน ฝ่ายแรกยินดีปรีดาและฉีกยิ้มกับแข้งใหม่ค่าตัว 50 ล้านปอนด์ แต่อีกฝ่ายโกรธแค้นและสาปส่งไม่มีชิ้นดี

นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น แต่สำหรับ ตอร์เรส สิ่งที่เขาทำได้คงมีเพียงตั้งหน้าตั้งตาทำงานในสนามให้เต็มที่ ทว่าช่วงแรกกลับเจอปัญหาการปรับตัวและรีดฟอร์มเก่งออกมาอย่างมาก ซึ่งสิ่งที่บ่งบอกได้ชัดเจนคือจำนวนประตูที่เขาสอยตาข่ายไปเพียง 'ลูก' เดียวเท่านั้น

แม้หลายฝ่ายยังมองในแง่ดีว่า ตอร์เรส ยังต้องการการปรับตัวเพราะย้ายมาช่วงกลางฤดูกาล แต่ซีซั่นถัดมากับการประเดิมแบบเต็มฤดูกาล ผลงานของกองหน้าชาวสเปนก็ยังไม่เป็นไปตามที่หลายคนคาดหวังไว้หากเทียบกับตอนระเบิดฟอร์มกับ ลิเวอร์พูล


ท้ายที่สุด ถึงจะมีส่วนผลักดันในการพาทีมคว้า แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่บรรดาสื่อก็ยังตัดเกรดผลงานของ ตอร์เรส ว่า 'สอบตก' อยู่ดี

ถึงจะมีเสียงวิจารณ์ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บรรดาสื่อเองก็พยายามจับจ้องผลงานโดยเฉพาะช่วงที่ไม่เป็นไปตามเป้า แต่ดูเหมือนว่า ตอร์เรส จะไม่สนใจและตั้งตาทำงานอย่างหนักเพื่อหวังจะพิสูจน์ผลงานของตนเองให้กับทุกๆคนได้เห็น

และในซีซั่นถัดมา หรือในฤดูกาล 2012/13 ก็กลายเป็นหนึ่งในฤดูกาลแห่งความทรงจำของ ตอร์เรส ที่มีทั้งเรื่องราวที่แย่ทว่าสุดท้ายกลับกลายเป็นปีที่เขาจะไม่มีวันลืมเลือนไปจากชีวิต

"มันเป็นสถานการณ์ที่แปลกนะ" ตอร์เรส กล่าวพร้อมเสียงหัวเราะหลังจากให้สัมภาษณ์กับสโมสรดังของลอนดอน

"ผมไม่รู้ว่า ฆวน มาต้า โดนบอลหรือเปล่า ตอนนั้น ปีเตอร์ เช็ก ขว้างบอลมาสูงมาก มาต้า พยายามเข้าไปจับบอลและจากนั้นมันหลุดมาที่ผมและเห็นว่าไม่มีกองหลังไปมากกว่า ลุยเซา (ของ เบนฟิก้า) ที่ยืนขวางอยู่ มันมีพื้นที่และเวลาให้วิ่ง นี่คือสิ่งที่ผมเคยทำได้ดีที่สุด มันเป็นสถานการณ์ปกติสำหรับผม"

"ตอนที่ผมเลี้ยงผ่าน ลุยเซา ผมมองเห็นผู้รักษาประตูออกมาและยังเหลือพื้นที่ให้เลี้ยงต่อไป ผมรอสักครู่หนึ่งก่อนจะยิงออกไป เพราะเขาตามผมมา และผมเองก็เห็นช่องว่างเล็กๆ ผมพยายามส่งบอลเข้าด้านในและมันเป็นแบบนั้น มันเป็นประตูสำคัญเพราะมันทำให้เราออกนำ"


ตอร์เรส ย้อนความทรงจำกับประตูอันแสนสำคัญในรอบชิงชนะเลิศ ยูโรปา ลีก ฤดูกาล 2012/13

ประตูดังกล่าวมีความสำคัญกับ ตอร์เรส อย่างมากเพราะมันเหมือนกับการปลดปล่อยสิ่งที่ค้างคาใจของเขาออกมา และที่สำคัญคืออารมณ์ของแฟนบอลหลังจากประตูดังกล่าวเกิดขึ้นที่มันยังคงตราตรึงใจกองหน้ารายนี้จวบจนถึงปัจจุบัน

"ปฏิกิริยาของบรรดาแฟนบอลมีมากกว่าผมเสียอีก" ตอร์เรส ย้อนความทรงจำไปถึงอารมณ์ในตอนนั้น

"บางที ผมรู้สึกว่าแฟนบอลกำลังมองไปถึงการทำประตูของผมมากกว่าที่ผมเองมองเสียอีก ผมรู้สึกว่าทุกๆครั้งที่ผมทำประตูสำคัญ พวกเขาต่างมีความสุขเพราะผมเป็นดาวยิง มากกว่าเพราะผมทำประตูได้ ผมถือว่าตนเองเป็นหนี้พวกเขาในเรื่องนี้ตลอดไป"

มันเป็นความรู้สึกของ ตอร์เรส ที่มอบให้กับแฟนบอล สิงโตน้ำเงินคราม เพราะในช่วงเวลาที่เขาต้องเจอกับมรสุมทั้งผลงานในสนาม บรรดาสื่อที่ต่างจ้องเล่นงานในวันที่ผลงานไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง หรือแม้แต่ฝ่ายตรงข้ามที่พยายามถ่มถุยในวันที่พลาด แต่เหล่าสาวก 'เดอะ บลูส์' กลับยืนหยัดและให้กำลังใจหัวหอกชาวสเปนรายนี้เสมอมา ซึ่งเขาก็มอบความไว้วางใจด้วยผลงาน 22 ประตูในซีซั่น 2012/13

สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญกับ ตอร์เรส อย่างมาก เพราะมันคือกำลังใจที่ทำให้เขาก้าวต่อไปและนำมาซึ่งแชมป์ ยูโรปา ลีก ในปีนั้น


"มันยากมากๆในช่วงเริ่มต้น เพราะเราเป็นแชมป์เก่ารายการ แชมเปี้ยนส์ ลีก และเราถูกคาดหวังว่าต้องทำให้ได้อีกครั้ง ทว่าท้ายที่สุดเราไม่ผ่านรอบแบ่งกลุ่ม"

"เรามีช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่เราแก้ไขและเริ่มเล่นได้ดีขึ้นหลังจากผ่านช่วงครึ่งฤดูกาลแรกไปจนถึงช่วงจบซีซั่น"

"เราลงเล่นใน ยูโรปา ลีก ด้วยเป้าหมายในการคว้าแชมป์ บางครั้งทีมที่ไม่ผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ แชมเปี้ยนส์ ลีก อาจจะรู้สึกว่า ยูโรปา ลีก ไม่มีความสำคัญมากพอ แต่มันไม่ใช่ในกรณีของพวกเรา เราลงเล่นในรายการนี้ด้วยเป้าหมายในการคว้าแชมป์"

นั่นคือปากคำจาก ตอร์เรส กับฤดูกาลที่ไม่ต่างจากการนั่งรถไฟเหาะ ที่มีทั้งลงสุดและขึ้นสุด 

พวกเขาตกลงมารอบแบ่งกลุ่ม แชมปเปี้ยนส์ ลีก ในฐานะทีมอันดับ 3 ของกลุ่ม หลังจากมี เฮด-ทู-เฮด ที่เป็นรอง ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค

ตอนนั้น เชลซี ดูเหมือนสับสนอย่างมาก และวกเขาก็ทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยการดึง ราฟาเอล เบนีเตซ เข้ามารักษาการแทน โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ที่โดนเด้งออกไป




สิงโตน้ำเงินคราม เริ่มต้นในเวที ยูโรปา ลีก รอบ 32 ทีมสุดท้าย ก่อนจะไล่น็อคสโมสรอย่าง สปาร์ต้า ปราก, สเตอัว บูคาเรสต์, รูบิน คาซาน และ บาเซิ่ล ตกรอบไป จนมาถึงรอบชิงชนะเลิศกับ เบนฟิก้า ณ สนาม อัมสเตอร์ดัม อารีน่า 

"เราทำผลงานได้ดีจริงๆ และเราเข้ารอบชิงชนะเลิศไปดวลกับ เบนฟิก้า ที่ตอนนั้นกำลังทำผลงานได้ดีตลอดฤดูกาล" ตอร์เรส เผยคู่แข่งทีมสำคัญในตอนนั้น

"เราสมควรที่จะเอาชนะในนัดนั้น เบนฟิก้า เล่นได้ดี โดยเฉพาะในครึ่งแรก แต่ครึ่งหลังเรามีโอกาสมากมายและคุมเกม จุดโทษที่เสียไปถือเป็นโชคที่ไม่ดีของพวกเรา (ออสการ์ การ์โดโซ่ ในนาทีที่ 68) ทุกๆคนต่างคิดว่าเกมต้องไปตัดสินในช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่ (บรานิสลาฟ) อิวาโนวิช ทำประตูได้จากลูกโหม่งที่แสนวิเศษตรงเสาไกล มันเป็นประตูที่ดีจริงๆ และมันเป็นเรื่องที่เหมาะสมกับ อิวาโนวิช ที่ทำผลงานในรายการนี้และตลอดปีได้อย่างแสนวิเศษ เราคือทีมที่ดีที่สุดในรอบชิงชนะเลิศและการแข่งขัน"

"ผมมีความสุข โดยเฉพาะสำหรับแฟนบอลเชลซี เพราะในตอนนั้นเราคว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ต่อด้วย ยูโรปา ลีก"

นั่นคือค่ำคืนที่แสนพิเศษของ เฟร์นานโด ตอร์เรส และเมื่อเขามองย้อนกลับไปยังช่วงเวลาแห่งความทรงจำ ณ กรุงอัมสเตอร์ดัม ที่นั่นคงมีแต่เรื่องราวดีๆ และตราตรึงอยู่ในชีวิตเขาตลอดไป



คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด