ของดีเวทีลีก เอิง: ต็องกี กูอัสซี่

นักเตะมากมายที่ไต่เต้ามาจากเวทีของลีกน้ำหอมก่อนจะก้าวไปประกาศศักดาและกลายมาเป็นดาวดังระดับโลก

ช่วงหลังเราได้เห็นแข้งชั้นดีมากมายที่โผล่พรวดขึ้นมาไม่ว่าจะเป็น คีลียัน เอ็มบั๊ปเป้ ที่ถือว่าเป็นนักเตะชูโรงของลีกในตอนนี้ และกำลังสนุกสนานกับการลงสนามให้ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง

ว่ากันถึง เปแอสเช แล้ว พวกเขาถือเป็นหนึ่งในทีมที่มีดาวรุ่งฝีเท้าดีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการดึงมาจากทีมอื่นๆ ในลีก หรือบ่มเพาะผู้เล่นตั้งแต่วัยละอ่อน

แต่สิ่งที่ถือเป็นกำแพงและก้างขวางคอขอบรรดาดาวรุ่งเหล่านั้นคือมาตรฐานของทีมและบรรดาสตาร์ดังที่เดินไหล่ชนไหล่อยู่ในทีมชุดใหญ่ ทำให้ช่วงที่ผ่านมามีน้อยคนนักที่จะก้าวขึ้นมา หรือขึ้นมาแล้วก็ต้องยอมแพ้ย้ายสโมสรเพื่อหาโอกาสลงสนามที่มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา

โดยตอนนี้มีแข้งวัย 17 ที่กำลังถูกพูดถึงอย่างมาก เพราะเขาได้รับโอกาสจาก โธมัส ทูเคิ่ล ให้ลงสนามไปถึง 13  นัดแล้วในฤดูกาล

ชื่อของ ต็องกี กูอัสซี่ อาจจะไม่คุ้นรูหูแฟนบอลบ้านเรามากเท่าไหร่ แต่หากคนที่ติดตามฟุตบอลลีก เอิง ฝรั่งเศส จะต้องเคยผ่านตาหรือผ่านหูมาบ้างไม่มากก็น้อย

ด้วยการที่ เปแอสเช มักมีปัญหาในแผงหลัง ไม่ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บหรือการติดโทษแบนที่สลับสับเปลี่ยนเล่นงานทีมของ ทูเคิ่ล อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เขาต้องไปสรรหาผู้เล่นจากทีมเยาวชนและผลงาของ กูอัสซี่ ก็เข้าตานายใหญ่ชาวเยอรมันอย่างมาก

โอกาสการลงสนามหนแรกในซีซั่นเกิดขึ้นบนเวทีใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งเป็นเกมรอบแบ่งกลุ่มที่ เปแอสเช เอาชนะ เรอัล มาดริด 3-0 โดยที่กองหลังวัย 17 ปีลงสนามในฐานะตัวสำรอง ก่อนจะได้โอกาสสำคัญในการลงเล่นเป็นตัวจริงให้กับสโมสรดังของกรุงปารีส ในนัดที่ดวลกับ กลาตาซาราย เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

นั่นคือเรื่องราวคร่าวๆ ที่เกิดขึ้นกับ กูอัสซี่ ในฤดูกาลนี้ มันเป็นเส้นทางที่ทำให้เด็กหนุ่มวัย 17 ปีมีความสุข และเป็นแรงกระตุ้นให้เขาต้องพยายามเดินหน้าพัฒนาผลงานต่อไป

ย้อนกลับไปในวันที่ 7 มิถุนายน 2002 กูอัสซี่ ได้ลืมตาดูโลกจากพ่อแม่ชาวไอวอรี่ โคสต์ ซึ่งเขาไม่ต่างจากเด็กคนอื่นๆ ที่หลงรักฟุตบอลก่อนจะได้โอกาสเข้าทีมเยาวชนของ เอปิเนย์ อัตเลติโก ตอนอายุได้เพียง 6 ขวบ

ที่นั่นคือการเดินทางครั้งแรกในเส้นทางสายลูกหนัง เขาได้โอกาสย้ายไปเล่นให้กับ อูแอส เซนาร์-มัวส์ซี่ (ทีมเดียวกับ คิงส์เล่ย์ โกมัน ในสมัยเด็กๆ) ก่อนจะโยกไปร่วมทีม เปย์ส เดอ ฟงเตนโบล และท้ายที่สุดผลงานไปเข้าตา เปแอสเช ที่ดึงไปร่วมทีมตอนอายุได้ 14 ปี

ด้วยฝีเท้าที่เกินวัยทำให้เขาต้องแบกอายุในการลงสนามอยู่บ่อยครั้ง (อายุ 15 ปีลงเล่นให้ทีม ยู-17 และตอนอายุได้ 16 ปี ถูกดันให้ไปเล่นในทีม ยู-19) ไม่ว่าจะการลงสนามให้กับสโมสรหรือทีมชาติ 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับส่งผลดีให้กับ กูอัสซี่ ในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์และพัฒนากระดูกของตนเองในการดวลกับนักเตะที่อายุมากกว่า

จุดเด่นของเขาคงหนีไม่พ้นร่างกายที่สูงใหญ่เกินวัยเพราะในวัยเพียงแค่ 17 ปี เขากลับสูงถึง 182 เซนติเมตร รวมไปถึงรูปแบบการเล่นในลักษณะของกองหลังรุ่นเก่าคืออาศัยความแข็งแกร่งและสูงใหญ่ในการเอาชนะกองหน้าฝ่ายตรงข้าม

นอกจากนั้น กูอัสซี่ ยังมีดีเรื่องการอ่านเกมและผ่านบอลที่ดี ซึ่งช่วยให้เขาสามารถปรับตำแหน่งในการเล่นเป็นกองกลางตัวรับได้เช่นกัน ซึ่งมีสื่อในประเทศฝรั่งเศสกล่าวว่าแข้งวัย 17 ปีรายนี้ไม่ต่างไปจาก มาร์กแซล เดอไซญี่ ในอดีตเลย

"กูอัสซี่ เป็นนักเตะที่มีความสามารถพร้อมทักษะที่ยอดเยี่ยม รวมไปถึงในเรื่องของศักยภาพในการเดินเกมขั้นไปข้างหน้า แถมยังมีความทนทานสูงและความขยัน เขายังไม่ยอมแพ้ในการครองบอล และทำทุกๆ สิ่งในการแย่งบอลกลับมา"

นั่นคือคำพูดของทีมประเมินผลงานจาก เปแอสเช ที่กล่าวถึง กูอัสซี่ ซึ่งคงจะทำให้ทุกๆ คนรู้จักแข้งรายนี้มากขึ้น

แม้จะอยู่ในขั้นพัฒนาฝีเท้า แต่ด้วยทักษะและความมุ่งมั่นที่มีในตัว ทำให้ฤดูกาลนี้ กูอัสซี่ ถูกดันขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ ซึ่งสร้างความพอใจให้กับนักเตะอย่างมาก

"มันเป็นสัญญาณที่ดี มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่สโมสรมีให้กับผม และมันเป็นเรื่องที่ดีกับผมมากๆ ผมรู้สึกของคุณไปยังบรรดาเพื่อนร่วมทีม พวกเขาทำให้ผมแข็งแกร่ง"

แต่สิ่งที่ยังไม่ชัดเจนในตัวของ กูอัสซี่ คงหนีไม่พ้นการยืนตำแหน่ง เพราะเขาก้าวขึ้นมาในฐานะปราการหลังตัวกลาง แต่ทาง ทูเคิ่ล มักจะจับเขาไปฝึกปรือในตำแหน่งกองกลางตัวรับอยู่บ่อยครั้ง

เรื่องนี้ได้รับความกระจ่างจากปากนักเตะที่ระบุว่า 

"การเล่นตรงกลางเป็นสิ่งที่บ่งบอกตัวผม ตั้งแต่ช่วงหน้าหนาวที่ผ่านมาโค้ชได้ใช้งานผมในตำแหน่งกองกลาง ผมไม่สนใจว่าจะลงเล่นในตำแหน่งไหน แม้ว่ามันจะไม่ง่าย ผมก็จะทำให้มันออกมาดี"

อย่างที่เรียนไปว่าเส้นทางของ กูอัสซี่ อาจจะเพิ่งเริ่มต้น กระนั้นหากดูไปถึงปัจจัยต่างๆ ที่รายล้อมกองหลังรายนี้ ทำให้เชื่อได้ว่าจะมีเส้นทางที่ยิ่งใหญ่รอเขาอยู่ในอนาคต

สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับทางนักเตะแล้วว่าจะสามรรถสานต่อและพัฒนาฝีเท้าของตนเองให้รุดหน้าไปกว่าเดิมได้หรือไม่ เพราะนี่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการที่จะก้าวไปยังเป้าหมายต่อไป