ก้าวเดินของ ทูเคิ่ล
แต่สำหรับ โธมัส ทูเคิ่ล แล้ว เขาพยายามที่จะออกมาจากเงาตรงนั้น และพยายามสร้างชื่อเสียงในฐานะกุนซือที่ไม่ต้องไปผูกชื่อกับ คล็อปป์ เหมือนที่เคยเป็นมา
ในเส้นทางสานอาชีพ ทูเคิ่ล ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ที่เริ่มเตะฟุตบอลในบ้านเกิด แต่ด้วยอาการบาดเจ็บที่รุมเร้าและเล่นงานอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เขาตัดสินใจหันหลังให้อาชีพนักฟุตบอลในวัยเพียง 25 ปี
กระนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ความรักและหลงใหลในเกกีฬาชนิดลดน้อยลงไป ทูเคิ่ล หันเก ความสนใจจากในสนามกลายมาเป็นคนข้างสนาม และหันไปเรียนรู้งานโค้ชอย่างเต็มตัว
หลังจากใช้เวลาเรียนรู้ในทีมเยาวชนของ สตุ๊ตการ์ท เขาได้ผลักดันนักเตะมีชื่ออย่าง มาริโอ โกเมซ และ โอลเกอร์ บาดชตูเบอร์ ให้เป็นที่รู้จัก จากนั้นได้โอกาสย้ายไปทำหน้าที่ฝ่ายพัฒนาทีมเยาวชนให้กับ เอาก์สบวร์ก ในปี 2005
ที่นั่นเข้าใช้เวลาเรียนรู้ 3 ปี ค่อยๆ พัฒนาฝีไม้ลายมือก่อนจะก้าวมาคุมทีมสำรองของสโมสร ซึ่งแน่นอนว่าบอร์ดบริหารมองเห็นความสามารถและพยายามเจรจาเพื่อมอบหมายงานที่ใหญ่ขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทูเคิ่ล ได้ตัดสินใจออกเดินทาง โดยมีจุดหมายที่ ไมนซ์ ซึ่งที่นั่นเขาได้โอกาสคุมทีมระดับยู-19 โดยหวังว่าจะใช้เวลาเพื่อพัฒนาฝีมือของตนเองต่อไป
แต่ทุกๆ อย่างกลับเป็นไปมากกว่าที่ ทูเคิ่ล คิดเอาไว้ เพราะหลังจากทีมประกาศแยกทางกับ ยอร์น อันเดอร์สัน กุนซือชาวนอร์เวย์ที่คุมทีมได้เพียงปีเศษ สโมสรได้ทำการตัดสินใจครั้งสำคัญในการผลักดันกุนซือที่มีอายุ 35 ปีในตอนนั้นให้ก้าวมาคุมทีมชุดใหญ่
ถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญและจะกำหนดอนาคตของสโมสร นอกจากนั้นยั
เป็นงานหนัก ทูเคิ่ล อีกเช่นกัน เพราะเขามีงบประมาณการเสริมทีมที่จำกัด และด้วยฐานะน้องใหม่ของเวทีบุนเดสลีกา ส่งผลให้ศักยภาพด้านนักเตะดูจะเป็นรองคู่แข่งทีมอื่นๆ
เรื่องนั้นอาจจะดูเป็นปัญหาหากมองจากภายนอก แต่สำหรับ ทูเคิ่ล นี่คือความท้าทายในอาชีพ เขาจัดการปรับระบบการเล่นด้วยเน้นเกมสวนกลับ โดยมีนักเตะจากทีมเยาวชนในตอนนั้นอย่าง อดัม โซลอย และ อันเดร เชือร์เร่ เป็นแกนหลักในสังหารประตู รวมไปถึงการสั่งให้ลูกทีมเพรสซิ่งสูง ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในฤดูกาลแรก เพราะเขาพาทีมที่ว่ากันว่าเป็นเต็ง 1 ที่จะตกชั้นให้อยู่ีอดปลอดภัยด้วยการเข้าป้ายอันดับ 9 ของฤดูกาล 2009/10
นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะฤดูกาลถัดมา ทูเคิ่ล ดึงตัว เลวิส โฮลท์บี้ กองกลางตัวรุกมาเสริมทีม รวมไปถึง คริสเตียน ฟุคส์ ที่ถูกยืมมาจาก โบคุ่ม ซึ่งพวกเขาเข้ามาประสานกับแกนหลักของทีมก่อนจะสร้างปรากฏการณ์ในฤดูกาล 2010/11 ด้วยการพาทีมจบที่ 5 และไปเล่น ยูโรปา ลีก ได้สำเร็จ
ทว่าทุกอย่างไม่ได้สวยงามไปทั้งหมดเพราะอีก 2 ฤดูกาลต่อมา ไมนซ์ จบอันดับที่ 13 ในลีก ซึ่งเหมือนกับจุดอิ่มตัวของทั้งสองฝ่าย แม้ในฤดูกาล 2013/14 ทูเคิ่ล จะพาทีมจบที่ 7 และไปบอลยุโรปอีกครั้ง แต่นั่นคือบทบาทสุดท้ายในฐานะกุนซือ ไมนซ์
ว่ากันว่าเรื่องราวที่ทำให้ ทูเคิ่ล หมดไฟกับ ไมนซ์ มาจากเรื่องงบประมาณการทำทีมที่จำกัด แม้ทีแรกสโมสรจะพยายามรั้งกุนซือรายนี้ แต่ท้ายที่สุดก็ต้องยอมปล่อยและแยกทางกัน
หลายสโมสรต่างๆ พยายามติดต่อ ทูเคิ่ล ให้ตกลงไปร่วมงาน โดยเฉพาะชาลเก้ และ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ที่พยายามติดต่อไปยังตัวแทนของกุนซือหนุ่มรายนี้ตั้งแต่ช่วงกลางซีซั่น 2013/14 แต่ท้ายที่สุด ทูเคิ่ล ขอเวลาพักร่างกายและสมอง 1 ปี
หลังจากวันเวลาผ่านไป โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ได้เดินหน้ามองหากุนซือรายใหม่เพื่อให้มาแทนที่ คล็อปป์ หลังจากกุนซือรายนี้ตัดสินใจแยกทางกับ เสือเหลือง และหวยไปออกที่ ทูเคิ่ล เพราะสโมสรมองว่าปรัชญาของสองกุนซือรายนี้ไม่ต่างกัน และเขาน่าจะเข้ามาสานต่อผลงานของกุนซือคนเก่าได้ทันที
ที่ ซิกนัล อิดูน่า พาร์ค เขามีทุกอย่างที่พร้อมสนับสนุนการทำงานไม่ว่าจะเป็นเม็ดเงินหรือปัจจัยต่างๆ ที่ดีกว่า ไมนซ์ กระนั้นการทำงานไม่ได้ง่ายกว่าเดิม เพราะเมื่อมายังสโมสรที่ใหญ่ขึ้น ความคาดหวังที่มีก็ย่อมใหญ่ตามไปด้วย
ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่สโมสรคาดหวังไว้ เพราะหลังจากผ่านไป 2 ปีกับแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล 1 สมัย ทำให้ทีมตัดสินใจแยกทางกับ ทูเคิ่ล ช่วงกลางปี 2017
2 ปีกับ ดอร์ทมุนด์ แม้ว่าจะถูกวิจารณ์พอสมควรที่ไม่สามารถผลักดันสโมสรให้เดินหน้าไปอย่างที่ต้องการ แต่ด้วยฝีไม้ลายมือที่ยอดเยี่ยมทำให้หลายๆ สโมสรยังคงต้องการ ทูเคิ่ล ไปใช้งาน
แน่นอนว่าเขาใช้เวลา 1 ปีเพื่อพักผ่อนและมองหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ก่อนจะตัดสินใจย้ายไปร่วมงานกับยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศสอย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง ในปี 2018
ฤดูกาลแรกค่อนข้างหน้าผิดหวังเพราะเขาพาทีมคว้าแชมป์ได้เพียง ลีก เอิง เท่านั้น และด้วยการที่เขาพาทีมตกรอบ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ส่งผลให้สื่อเริ่มกุข่าวว่าสโมสรกำลังจะแยกทางกับ ทูเคิ่ล หลังจบฤดูกาลดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ข่าวลือทั้งหมดต้องหายไปเพราะสโมสรยื่นขยายสัญญาอีก 1 ปีให้กับ ทูเคิ่ล และทาง นาสเซอร์ อัล-เคไลฟี่ ประธานใหญ่ของสโมสรออกมายืนยันเองว่าอนาคตของกุนซือชาวเยอรมันยังมั่นคงอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น อัล-เคไลฟี่ ดูจะชื่นชอบฝีไม้ลายมือของ ทูเคิ่ล อย่างมาก เพราะไม่ใช่เพียงผลงานในสนาม เขายังสามารรุจัดการกับบรรดาซูเปอร์สตาร์ในทีมได้อย่างยอดเยี่ยม และที่สำคัญคือการทำงานที่คอยกระตุ้นลูกทีม และพยายามดึงศักยภาพของทุกๆ คนออกมาให้มากที่สุด นั่นส่งผลให้บอร์ดบริหารพอใจอย่างมาก
"โธมัส นำพลังงานที่แสนวิเศษเข้ามาสู่ทีมในทุกๆ วัน ไม่ใช่แต่กับนักเตะเท่านั้น แต่รวมไปถึงทุกๆ คนในสโมสร"
นั่นคือคำกล่าวชมของประธานใหญ่เปแอสเชที่มีถึง ทูเคิ่ล เพราะผลงานในสนามประจักษ์ออกมาให้เห็นว่าเขาสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมไปถึงแก้ไขเรื่องราวเฉพาะหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม
ส่วนสำคัญอีกหนึ่งประการคือเรื่องกลยุทธ์ หรือ 'แท็คติก' ที่ไม่ตายตัว ทูเคิ่ล สามารถใช้งานลูกทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังสามารถปรับระบบให้เขากับสถานการณ์ด้านเงื่อน (อาทิ นักเตะบาดเจ็บหรือติดโทษ) และคู่แข่งที่ต้องเจอ
สำหรับ ทูเคิ่ล แล้ว ไม่จำเป็นว่าทุกๆ เกมจะต้องลงเล่นในระบบใดระบบหนึ่งอยู่เสมอหรือตลอด แต่มันขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในทีมที่มาเป็นอันดับแรกว่านักเตะมีให้ใช้งานมากน้อยเพียงใด และนอกเหนือไปจากนั้นคือคู่แข่งที่ต้องเจอ เพราะเขาเป็นกุนซือที่ศึกษาคู่แข่งอย่างหนัก จนบางครั้งลูกทีมต้องออกมาแซวว่าในหัวของ ทูเคิ่ล มีแต่ฟุตบอลเท่านั้น
สิ่งเหล่านั้นช่วยผลักดันและพัฒนาให้ ทูเคิ่ล มาถึงจุดนี้ ซึ่งตัวของเขาเองได้พยายามก้าวข้ามกำแพงที่ขวางกั้นเพื่อให้ตนเองไปยังอีกระดับและได้รับความยอมรับจากทุกๆ คน
งานสำคัญที่สุดของเขาในตอนนี้คงหนีไม่พ้นการผลักดันให้ เปแอสเช ไปได้ไกลที่สุดใน แชมเปี้ยนส์ ลีก เพราะนี่คือเป้าหมายหลักของสโมสรและเป็นปณิธานของประธานสโมสรที่กล่าวไว้ตั้งแต่วันแรก
สำหรับ ทูเคิ่ล นั่นคงเป็นงานที่เขาตั้งใจไว้เช่นเดียวกัน เพราะไม่เพียงจะช่วยให้ทีมไปยังเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ แต่มันยังหมายถึงการประกาศตัวตนและจารึกชื่อของตนเองไว้ในประวัติศาสตร์ลูกหนัง
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT