ฟาเบรกาส: โควิด-19, เหยียดผิว และผู้จัดการทีม
เส้นทางชีวิตของกองกลางชาวสเปนถือว่าน่าสนใจและโลดโผนไม่น้อยกับการได้ใช้เวลากับทีมดังๆ ไม่ว่าจะเป็น อาร์เซน่อล, บาร์เซโลน่า หรือ เชลซี ที่ต่างประสบความสำเร็จมากมาย
ถึงตอนนี้ในวัย 33 ปี อาจจะเป็นช่วงเวลาท้ายอาชีพของเขาที่ตัดสินใจมาปักหลักกับ โมนาโก ได้ปีเศษ
ตรงนี้มาฟังเรื่องราวที่ผ่านมาในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมไปถึงมุมมองของการเหยียดผิวและเชื้อชาติในวงการฟุตบอล และที่สำคัญเส้นทางต่อไปในอนาคตของเขา ...
คุณหวดติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ถึงสองครั้ง
"มันน่าเหลือเชื่ออย่างมาก ท่านเพิ่งจะอายุครบ 96 ปีไปเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา และเธอเพิ่งผ่านความเจ็บป่วยมาได้ พวกเราภูมิใจกับท่านในเรื่องนั้น มีช่วงเสลาที่หลายๆ คนยอมทำใจ (ให้กับ โควิด-19) ท่านกังวลและไม่ได้บอดผมด้วยซ้ำว่ามันผ่านไปแล้ว ผมบอกท่านว่าท่านต้องมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ เพราะคุณไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดอะไรในขึ้นในชีวิต และท่านยังคงอยู่กับพวกเรา"
ประสบการณ์ในช่วง 'ล็อคดาวน์'
"ผมสนุกนิดหน่อยกับชีวิตที่ได้ใช้กับภรรยาและลูกๆ ของพวกเราทั้งสามคน แต่ในส่วนอื่นๆ ผมยังแอบอิจฉาในฐานะผู้ชมตอนที่ลีกอื่นๆ กลับมาแข่งขัน ผมคิดว่าลีกอื่นๆ แสดงให้ถึงการมีข้อบังคับ, ความเป็นมืออาชีพอย่างมาก และเราน่าจะทำสิ่งที่แตกต่างได่เช่นกันในฝรั่งเศส ในส่วนอื่นๆ ผมต้องยกย่องให้กับบรรดาทีมต่างๆ ที่ทำให้ลีกของพวกเขาจบลงได้"
มุมมองการเหยียดผิวและเชื้อชาติในวงการฟุตบอล
"ความฝันของผมคือการพาลูกชายไปชมเกมในสนามทุกๆ วันเสาร์หรืออาทิตย์ และในตอนที่คุณเห็นเรื่องแบบนั้น คุณก็ไม่อยากทำมันต่อไปแล้ว ผมไม่ต้องการทำแบบนั้น ผมชอบในตอนที่แฟนบอลตื่นเต้น แต่ในตอนที่คุณล้ำเส้น จุดประสงค์คืออะไร? จุดประสงค์คืออะไร? มีผู้คนมากมาย เด็กๆ กำลังชมเกม บางครั้งผมได้ยินการร้องเพลงเชิงเหยียดผิวในสนามบางครั้งคุณไม่ได้สนใจเพราะกำลังมีสมาธิในเกม และจากนั้นเพื่อนร่วมทีมบอกคุณว่า 'ฟังเพลงที่พวกนั้นกำลังร้องออกมาสิ พวกขากำลังร้องอะไรกัน' มันแย่มากๆ และบางทีผมอาจจะยังไม่กล้าหาญมากพอที่จะออกมาพูดถึงเรื่องเหล่านั้น มันเป็นเวลาหลายๆ สิ่งต้องเปลี่ยนแปลง เราไม่มีสิทธิ์ที่จะยอมแพ้หรือถอยกลับไป ... แม้ว่าการเหยียดผิวหรือเชื้อชาติจะไม่ได้หายไปเพียงชั่วข้ามคืน"
การทำให้วัยรุ่นตระหนักถึงปัญหาการเหยียดผิวและเชื้อชาติ
"ในตอนที่ผมฟัง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, มาร์คัส แรชฟอร์ด พูดเรื่องนี้ออกมา ... พวกเขาคือตำนาน เราต้องฟังพวกเขา คุณได้เรียนรู้อย่างมากจากคนหนุ่มอย่างพวกเขา พวกเขาเป็นตัวอย่างให้สังคมและพวกเราทุกๆ คน"
ในกรณีของเรื่องรักร่วมเพศในวงการฟุตบอล
"ผมมั่นใจว่ามีนักฟุตบอลที่เป็นเกย์ ผมคิดว่าพวกเขาต้องออกมาพูดเพื่อไปยังก้าวต่อไป ผมเข้าใจว่าทำไมพวกเขากลัวที่จะออกมา เพราะพวกเขารู้สึกโดดเดี่ยว พวกเขารู้ถึงความไม่รู้ของผู้คนที่กำลังเล่นงานพวกเขาเกี่ยวกับมันและร้องเพลงต่อต้านพวกเขาบนอัฒจันทร์ ผมรู้จัดบางคนที่อายและกลัวถึงสิ่งที่คุณคิดเกี่ยวกับพวกเขา มันเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจ โดยเฉพาะเมื่อคุณเป็นนักเตะหนุ่ม มันขึ้นอยู่กับนักเตะที่มีประสบการณ์ที่ช่วยให้พวกเขาแสดงตัวตนออกมา"
กับโอกาสที่ได้ลงสนามตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม
"อาร์แซน เวนเกอร์ ส่งผมลงสนามทุกๆ เกมตั้งแต่อายุได้ 16 ปี และผมสร้างความผิดพลาดมากมายในตอนที่ผมกลับมานั่งดูวิดิโอของเกมเหล่านี้ และเขานำผมกลับมาลงสนามทุกๆ สัปดาห์ และด้วยเรื่องราวที่เป็นแบบนี้ กลายมาเป็นนักเตะที่คุณสามารถเป็นได้ หากปราศจากโอกาสจากเขา ผมไม่รู้ว่าผม, เธียร์รี่ อองรี หรือ ปาทริค วิเอร่า จะเป็นอย่างไร คุณต้องการมุมมองแบบนี้จากคนที่เชื่อมั่นในการพัฒนาของคุณ"
ความเป็นไปได้ในการเป็นผู้จัดการทีมในอนาคต
"ผมมีโอกาสเล่นกับคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเส้นทางอาชีพของผม ผมคิดว่ารูปแบบของผม ถ้าผมต้องกลายมาเป็นโค้ช จะเป็นการผสมผสานระหว่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า, โชเซ่ มูรินโญ่, อาร์แซน เวนเกอร์ ไม่เลวเลยใช่มั้ย? ผมจะนำสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของแต่ละคนมาใช้และคุณมีโค้ชที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์"
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT