ไก่จะกระต๊าก?
แม้ตอนนี้ไอ้ไวรัสเจ้าปัญหายังคงเล่นงานมวลมนุษยชาติ แต่หลายๆ ประเทศเริ่มเดินหน้าในการกลับมาพัฒนาประเทศเพราะมีการฉีดวัคซีนไปแล้วหลายเดือน โดยเฉพาะในยุโรปที่กิจกรรมต่างๆ ค่อยๆ กลับมา และฟุตบอลที่เริ่มให้แฟนๆ เข้าชมเกมในสนามได้บ้างแล้ว
ยิ่ง ยูโร 2020 เป็นการจัดเตรียมเล่นในหลายๆ ประเทศ ฝ่ายจัดการแข่งขันจึงใส่ใจและมุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษเพื่อให้มหกรรมการแข่งขันฟุตบอลที่ว่ากันว่าเป็นรองเพียง 'ฟุตบอลโลก' ได้ดำเนินไปให้จบตามที่ตั้งใจไว้
บรรดาทีมต่างๆ ได้เตรียมตัวมาถึงขั้นสุดท้าย ดีบ้าง มีปัญหาบ้างสลับกันไป แต่ถึงตรงนี้ต้องบอกว่าทุกๆ ทีมพร้อมที่จะเปิดศึกชิง 'จ้าวยุโรป'
คำถามสำคัญที่มักจะเกิดขึ้นในรายการใหญ่ๆ คือ 'ใครจะคว้าแชมป์?' โดยเฉพาะยูโรหนนี้ที่มีทีมเต็งมากมายลงชิงชัย รวมไปถึงม้ามืดที่พร้อมสอดแทรกขึ้นมา
สำหรับ ฝรั่งเศส ที่เพิ่งคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 มาครอง ส่งผลให้พวกเขาถูกมองว่าเป็นเต็ง 1 ที่จะได้แชมป์หนนี้ตามการคาดการณ์เพราะปัจจัยสำคัญคือแกนหลักจากฟุตบอลโลกส่วนใหญ่ยังคงยืนหยัดอยู่ในสมรภูมินี้
ไม่แปลกใจที่ 'ตราไก่' จะถูกยกให้เป็นเต็ง 1 ของรายการ เพราะทีมชุดนี้ส่วนใหญ่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่ ยูโร 2016 นักเตะบางรายเล่นด้วยกันมาตั้งแต่ได้แชมป์เยาวชนโลก รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี ก่อนกลายสภาพมาเป็นแกนหลักในทีมชุดใหญ่
จากความผิดหวังใน ยูโร 2016 ที่แพ้ โปรตุเกส ในนัดชิงชนะเลิศ พวกเขาทำสำเร็จใน 'เวิลด์ คัพ 2018' และกำลังพยายามสานต่อในการชิงแชมป์ยุโรปหนนี้
แน่นอน หากมองไปที่นักตะของ เลส์ เบลอส์ ในชั่วโมงนี้ถือว่าแข็งแกร่งอย่างมาก โดยเฉพาะแดนกลางที่มีทั้ง ปอล ป็อกบา กับ เอ็นโกโล ก็องเต้ ยืนพื้น ทั้งสองถือเป็นคู่หูในทีมชาติที่ทำผลงานได้ดีเสมอเมื่อลงเล่นร่วมกัน โดเฉพาะ ป็อกบา ที่เฉิดฉายทุกครั้งเมื่อมี ก็องเต้ สนับสนุน
ไหนจะการกลับมาของ คาริม เบนเซม่า ที่เข้ามาเติมเต็มอาวุธหนักในแนวรุก พร้อมสอดประสานกับ คีลียัน เอ็มบั๊ปเป้ และ อองตวน กรีซมันน์ แถมยังมีตัวทีเด็ดทั้ง โอลิวิเย่ร์ ชีรูด์, อุสมัน เดมเบเล่ หรือแม้แต่ วิสซาม เบน เยแดร์ กับ มาร์คุส ตูราม ยิ่งทำให้ ฝรั่งเศส ชุดนี้น่าสนใจเข้าไปอีก
จะว่าไปโค้ชทีมชาติคนอื่นๆ คงอิจฉา ดีดีเย่ร์ เดส์ช็องส์ ไม่น้อย เพราะหลังจากฟุตบอลโลก 2018 ที่มีนักเตะหลายคนลาทีมตามอายุสังขาร ตัวเก๋าหลายคนต้องหันหลังให้ทีมชาติ แต่พวกเขากลับมีเลือดใหม่ก้าวขึ้นมา บวกกับตัวเดิมๆ ที่เสริมกระดูกให้แข็งแกร่งกว่า 3 ปีที่แล้ว
ไล่เรียงดู 26 นักเตะที่ 'เดเด้' เรียกใช้งานใน ยูโร หนนี้ ต้องบอกว่าแต่ละคนสามารถลงเล่นตัวจริงได้แบบไม่เคอะเขิน ทุกๆ คนสามารถสอดแทรกหรือทดแทนกันได้ดี ทำให้แฟนบอลมองเห็นถึงศักยภาพเชิงลึกที่โดดเด่นกว่าทีมอื่นๆ อยู่พอสมควร
ที่กล่าวมาไม่ใช่จะบอกว่า ตราไก่ นอนมาและจะคว้าแชมป์ไปแบบสบายๆ ทีมอื่นๆ เองก็พร้อมแย่งชิง แม้ศักยภาพอาจจะไม่ครบครับเหมือน เลส์ เบลอส์ แต่จะให้กาชื่อบรรดาทีมเต็งอื่นๆ อย่าง อังกฤษ, เบลเยียม, อิตาลี, เยอรมนี, โปรตุเกส, สเปน หรือ เนเธอร์แลนด์ ออกไปก็คงจะเสียมารยาท
หรือบรรดาทีมระดับรองลงมาที่พร้อมสร้างความปวดเศียรให้ทีมใหญ่ๆ อาทิ โครเอเชีย, เดนมาร์ก, สวิตเซอร์แลนด์, ตุรกี และ โปแลนด์ ก็เป็นทีมที่จะมองข้ามไปไม่ได้
บวกกับสถานการณ์ของ ตราไก่ ที่ต้องเจอกลุ่มแข็งโป๊กในรอบแบ่งกลุ่ม ยิ่งเป็นคำถามสำคัญว่า เดส์ช็องส์ และลูกทีมจะสามารถผ่าน เยอรมนี, โปรตุเกส หรือแม้แต่ ฮังการี ไปแบบไม่บอบช้ำได้หรือไม่
ถือเป็นงานหนักตั้งแต่เกมแรกของ ฝรั่งเศส แต่หากมองมุมกลับถือว่าเป็นการย้ำเตือนไม่ให้ ตราไก่ ผ่อนคันเร่ง พร้อมเหยียบแบบจมตีนเพื่อตะลุยไปยังเส้นทางที่พวกเขาต้องการ
จุดที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนแปลงระบบการเล่นของ เดส์ช็องส์ ที่เขาพยายามปรับแต่งมาตั้งแต่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก หลากหลายแผนการถูกดึงมาใช้งานแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า 'เดเด้' จะวางใจในระบบ 4-4-2 แบบไดมอนด์ ซึ่งมี กรีซมันน์ คอยทำเกมหลัง เบนเซม่า (กรณีที่หายเจ็บ) และ เอ็มบั๊ปเป้
แดนกลางยิ่งน่าสนใจ เพราะนอกจากมี ป็อกบา และ ก็องเต้ ยืนเป็นแกนหลัก เลส์ เบลอส์ ยังมีนักเตะฝีเท้าดีอย่าง โกร็องแต็ง โตลิสโซ่, อาเดรียง ราบิโอต์, มุสซ่า ซิสโซโก้ และ โตมาส์ เลมาร์ พร้อมเป็นตัวเลือก
แนวรับก็ใช่ว่าจะน้อยหน้า ราฟาแอล วาราน ถือเป็นพี่ใหญ่ แต่คนที่เหลือก็ไม่ธรรมดาทั้ง เพรสแนล คิมเพมเบ้, เกลม็องต์ ล็องเล่ต์ และ เกิร์ต ซูม่า หรือทาง ฌูลส์ กุนเด้ ที่กำลังเข้าฝักกับ เซบีย่า
ที่สำคัญคือฟูลแบ็กทั้ง 4 ราย ไม่ว่าจะเป็น แบ็งฌาแม็ง ปาวาร์, ลูกัส แอร์กน็องเดซ, ลูก้าส์ ดีญ และ เลโอ ดูบัวส์ ที่พร้อมเป็นอาวุธให้กับทีม
น่าสนใจว่า ฝรั่งเศส ชุดนี้จะสามารถสานต่อความสำเร็จที่ทำไว้เมื่อ 3 ปีก่อนได้หรือไม่ พวกเขาจะสามารถลบฝันร้ายจาก ยูโร 2016 และทำให้ประชาชนชาวฝรั่งเศสได้ฉลองอีกครั้งอย่างที่หวังไว้ได้หรือไม่
เรื่องราวเหล่านี้ไม่มีใครรู้ เพราะคำคอบจะเกิดขึ้นจากผลงานในสนาม ทิศทางที่เป็นไปจะถูกกำหนดโดยผลการแข่งขันในแต่ละนัด แต่ละด่านที่ ตราไก่ ต้องเผชิญซึ่งเปรียบได้กับนัดชิงชนะเลิศเพราะทุกๆ เกมล้วนแล้วแต่สำคัญแทบทั้งสิ้น
ด่านแรกของพวกเขายิ่งแล้วใหญ่ เพราะต้องเจอกับ เยอรมนี ที่กรุงมิวนิค ในวันที่ 15 มิถุนายนนี้ แม้ว่า อินทรีเหล็ก ชุดปัจจุบันยังคงมีผลงานไม่แน่นอนยามเจอทีมยักษ์ใหญ่ แต่ขึ้นชื่อว่าขุนพลเมืองเบียร์ ใช่ว่าจะมองข้ามไปได้ง่ายๆ
เกมแรกเปรียบได้กับด่านสำคัญในการออกตัว หาก เลส์ เบลอส์ ทำผลงานที่ดีมันจะส่งผลไปยังสภาพจิตใจ คอยกระตุ้นนักเตะให้เดินหน้าไปยังเส้นทางที่วางไว้
ทุกอย่างถูกจัดวางไว้แล้วและไม่มีอะไรที่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาที่พวกเขาต้องเผชิญในรอบแบ่งกลุ่ม ยกเว้นพวกเขาที่ต้องลงไปคว้าชัยชนะมาครองให้จงได้
ถึงจะมีงานหนักตั้งแต่เปิดตัว แต่นั่นอาจจะเป็นการปลุกให้ ฝรั่งเศส เอาจริงเอาจังและเดินหน้าพร้อมความมุ่งมั่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนก็เป็นไปได้
ส่วนคำตอบที่ว่า ท้ายที่สุด ฝรั่งเศส จะไปจบลงที่จุดใด? เรื่องมีเพียง ดีดีเย่ร์ เดส์ช็องส์ และลูกทีมเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตอบคำถาม ...
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT