เมื่อพรีเมียร์ลีกเดินหน้าต่อ
ปัญหาดังกล่าวส่งผลให้เกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดีต้องถูกเลื่อนกันระนาวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมไปถึงก่อนหน้านั้นที่บางเกมต้องเลื่อนแบบกะทันหัน
หลายฝ่ายกังวลถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะบรรดาผู้จัดการทีมและนักเตะที่แสดงออกชัดเจน รวมไปถึงแฟนบอลที่เกรงว่าอาจจะโดนสั่งห้ามเข้าสนามอีกครั้งหากสถานการณ์บานปลายไม่ดีขึ้น
แต่ท้ายที่สุดจากการประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา พรีเมียร์ลีก รวมไปถึง อีเอฟแอล ซึ่งทำหน้าที่ดูแลลีกรองและลีก คัพ เลือกที่จะไปต่อแม้จะมีความเสี่ยงก็ตาม
เรื่องดังกล่าวได้รับการยืนยันจากลีกสูงสุดอังกฤษว่าเกมช่วงเทศกาลที่ลงสนามอย่างต่อเนื่องซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ตามแบบฉบับบอลผู้ดีจะลงเล่นต่อไป แต่เพิ่มเข้ามาด้วยมาตรการคัดกรองแฟนบอลอย่างละเอียด รวมไปถึงแต่ละสโมสรที่ยกระดับป้องกันตัวเองมากกว่าที่ผ่านมา
แน่นอนว่ามีคนที่ไม่เห็นด้วย แต่เมื่อเป็นมติจากที่ประชุม ทุกๆ คนก็ต้องทำและลงสนามตามที่โปรแกรมวางไว้ก่อนหน้านี้่ต่อไป
ในมุมนักเตะก็น่าเห็นใจโดยเฉพาะความกังวลเรื่องสุขภาพที่หลายคนมองว่าต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก แต่ในมุมของพรีเมียร์ลีกมีอะไรที่ซับซ้อนมากกว่านั้นหากว่าต้องเลื่อนโปรแกรมออกไป ไม่ว่าจะเรื่องการจัดคิวเตะใหม่, โปรแกรมถ่ายทอดสดที่ถูกวางไว้แล้ว ไหนจะรายได้ของแต่ละสโมสรที่จะขาดหายไปหากมีการระงับการแข่งขัน (หรือกรณีที่ห้ามแฟนบอลเข้าสนาม)
แม้ในอดีตลีกผู้ดีเคยหยุดลงสนามไปแล้ว แต่นั่นคือการรับมือในช่วงระบาดรอบแรกซึ่งยังไม่มีวัคซีน มาตรการที่พร้อม หรือขั้นตอนต่างๆ ที่รัดกุม เพราะสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ต่างจากหนนี้ที่พรีเมียร์ลีกอาจจะมองว่าหลายๆ อย่างพัฒนาขึ้น โดยเฉพาะวัคซีนที่มีอย่างทั่วถึง แม้ว่าจะเจอกับสายพันธุ์ใหม่ แต่พวกเขายังเชื่อลึกๆ ว่าพอรับมือได้หากทำตามมาตรการหรือขั้นตอนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด
กระนั้นมีข้อกังวลตามมาเพราะเจ้าโควิด-19 สายพันธุ์ 'โอมิครอน' ที่กำลังเล่นงานประเทศต่างๆ ถือเป็นสายพันธุ์ที่รับมือยากพอสมควรโดยเฉพาะการแพร่ระบาดที่รวดเร็วกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ และที่สำคัญคือมันจะไม่แสดงอาการเหมือนที่ผ่านๆ มาทำให้บางครั้งการตรวจหรือคัดกรองอาจจะหลุดรอดออกไปได้
บวกกับตัวเลขของนักเตะในเวทีพรีเมียร์ลีกที่รับวัคซีนป้องกันซึ่งถูกเปิดเผยออกมาในวันเดียวกันยังได้สร้างความกังวลเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีนักเตะที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มในจำนวน 77 เปอร์เซนต์เท่านั้น ส่วนนักเตะที่รับวัคซีนแค่เข็มเดียวอยู่ที่จำนวน 84 เปอร์เซนต์ หรือมีอีก 16 เปอร์เซนต์ที่ยัง 'ไม่ได้' ฉีดวัคซีน
เป็นตัวเลขที่สูงหากเปรียบเทียบกับลีกต่างๆ ในยุโรป โดยเฉพาะลีกชั้นนำ อาทิ เซเรีย อา ที่มีนักเตะเข้ารับวัคซีนครอบสองเข็มไปเกินกว่า 98 เปอร์เซนต์ แถมมีหลายคนที่บูสเข็ม 3 ไปแล้วด้วย
จึงไม่แปลกที่จะมีความกังวลเกิดขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์หลังจากนี้ของพรีเมียร์ลีกที่ตัดสินใจเดินหน้าลงสนามในช่วงปลายปีต่อต้นปีเช่นนี้ ฟุตบอลในประเทศอื่นๆ มีธรรมเนียมหยุดลงสนามในช่วงนี้เพื่อพักผ่อนหรือเบรกกลางซีซั่น ซึ่งประจวบเหมาะกับสถานการณ์ที่ทำให้ลีกและสโมสรต่างๆ กลับไปทบทวนและพิจารณาในการเดินหน้าต่อไปหลังจากนี้
ต่างจากพรีเมียร์ลีกที่แทบจะไม่มีเวลามองสถานการณ์อย่างถี่ถ้วน แม้ว่าพวกเขาจะมั่นใจในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่มีทางปฏิเสธได้ว่าอาจจะเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุดตามมาก็เป็นไปได้
นั่นคือภาพที่ทุกๆ คนไม่อยากให้เกิดขึ้น และหวังว่าพรีเมียร์ลีกรวมไปถึงสโมสรต่างๆ จะรับมือหรือจัดการได้ดีขึ้น โดยเฉพาะทีมที่เจอปัญหาก่อนหน้านี้ซึ่งส่วนใหญ่เริ่มส่งสัญญาณที่ดีออกมา นักเตะกลับมาลงซ้อมได้บ้างแล้ว บางทีมก็กลับมาลงเตะได้ตามเดิม อาทิ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ซึ่งเจอการแพร่ระบาดเป็นทีมแรกๆ
อีกหนึ่งสโมสรที่ได้รับความสนใจคงหนีไม่พ้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากโดนเลื่อนโปรแกรมมาสองนัด ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าเกม 'บ๊อกซิ่ง เดย์' ที่จะออกไปเยือน นิวคาสเซิ่ล จะลงหวดได้หรือไม่ แต่หากดูจากสัญญาณต่างๆ ถือว่าอยู่ในทิศทางบวก
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาแข้งปิศาจแดงบางส่วนเดินทางไปยังสนามซ้อม โดยทีแรกมีรายงานว่านักเตะ 21 คนรายงานตัวกับทีมก่อนจะมี 3 รายเดินทางกลับหลังจากไปถึงสนามซ้อมได้ไม่นาน (เจสซี่ ลินการ์ด, ลุค ชอว์ และ เมสัน กรีนวูด เดินทางกลับหลังจากไปถึงสนามได้ 10 นาที)
สัญญาณที่ดีถูกส่งออกมาอย่างต่อเนื่องเพราะวันถัดมา คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ลงภาพการซ้อมร่วมกับเพื่อนผีแดงผ่าน อินสตาแกรม ส่วนตัว ทำให้แฟนบอลใจชื้นขึ้นมาบ้างและมองว่าอาจจะได้ดูทีมรักลงเตะอีกครั้งในวันที่ 27 ธันวาคม
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในสโมสรก็ยังคงแบ่งรับแบ่งสู้ แม้ว่าตอนนี้ ราล์ฟ รังนิก ได้วางคิวแถลงข่าวในวันพฤหัสบดีนี้ แต่พวกเขายังไม่ใจว่าระยะเวลาที่เหลือสถานการณ์จะนิ่งพอให้อุ่นใจหรือมี 'เคส' เพิ่มขึ้นอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องประเมินแบบวันต่อวัน
อันนี้ไม่ได้แช่งหรือมองโลกในแง่ร้ายแต่อย่างใด แต่ไอ้โควิด-19 มันก็ไม่ได้เลือกเวลาแพร่เชื้อหรือมีเวลาทำการ หากองค์ประกอบหรือปัจจัยต่างๆ เกิดขึ้นพร้อมกัน ก็อาจจะทำให้เชื้อแพร่กระจายอีกครั้งก็เป็นได้
หวังว่าศึก 'บ๊อกซิ่ง เดย์' รวมไปถึงเกมส่งท้ายปีและต้อนรับปีใหม่ของพรีเมียร์ลีกจะไม่สะดุดหรือกระทบเป็นวงกว้าง หากป็นไปได้ก็ขอให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดและอยู่ในเกณฑ์ที่สามรถควบคุมได้ เพราะหากกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่คงหนีไม่พ้นการโดนถล่มแหลกจากสื่อและคนในสังคมแน่นอน
เมื่อเลือกที่จะเดินหน้าต่อพร้อมกับแฟนบอลที่ได้รับอนุญาตให้เข้าสนามด้วยเงื่อนไขที่รัดกุมชัดเจนยิ่งขึ้น (มีใบยืนยันการฉีดวัคซีนและผลตรวจเชื้อย้อนหลังก่อนเข้าสนามประมาณ 48 ชั่วโมง) ทางลีกและสโมสรต่างๆ ต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัดถึงที่สุด
ฟุตบอลในห้วงของโรคระบาดได้ทำร้ายแฟนบอลและสโมสรต่างๆ มายาวนาน ไม่ว่าจะทั้งร่างกายหรือจิตใจที่ได้รับผลกระทบ หรือแม้แต่การเงินที่กัดกร่อนแต่ละทีมอย่างแสนสาหัส หวังว่าวิกฤติครั้งใหม่ที่กำลังเล่นงานลีกผู้ดีในตอนนี้จะไม่ส่งผลให้ไปถึงการตัดสินใจเล่นแบบปิดสนามหรือหยุดแข่งขันกลางคัน
เรื่องราวหลังจากนี้จึงน่าสนใจว่าจะเป็นไรเช่นไรต่อไป พรีเมียร์ลีกจะสามารถจัดการสิ่งต่างๆ ได้ตามที่คาดหวังไว้ได้หรือไม่ หรือจะมีเรื่องราวให้พวกเขาต้องปวดหัว ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายไม่อยากให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT