หลังยุค 'เสี่ยหมี'
จากสโมสรที่เป็นเพียงไม้ประดับบนเวทีพรีเมียร์ลีก ถูกยกสถานะให้กลายมาเป็นทีมลุ้นแชมป์ กลายมาเป็นยักษ์ใหญ่ และกลายมาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจยุโรปนับตั้งแต่ อบราโมวิช ก้าวมายัง สแตมฟอร์ด บริดจ์
ระยะเวลาล่วงเลยผ่านมาเกือบ 19 ปีเต็ม อบราโมวิช ได้พลิกโฉมหน้า เชลซี ให้ก้าวขึ้นมาทัดเทียมสโมสรชั้นนำต่างๆ ทั้งในและนอกอังกฤษ และประกาศศักดาเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของยุโรป
แต่ช่วงเวลาดังกล่าวย่อมมีวันหมดอายุในตัวของมันเอง แม้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะถูกบีบคั้นจากปัจจัยภายนอก แต่มันกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มหาเศรษฐีวัย 55 ปีประกาศขายสโมสรที่เขารัก
สำหรับแฟนบอล แน่นอนว่ามีบางส่วนทำใจไว้บ้างแล้วเพราะสถานการณ์ รัสเซีย บุก ยูเครน ได้ส่งผลกระทบในวงกว้างไปยังหลายๆ ส่วน และหนึ่งในนั้นก็คือ อบราโมวิช ที่ถูกมองว่ามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำแดนหมีขาว แถมยังโดนนักกิจกรรมอังกฤษต่อต้านและวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อน
นำมาซึ่งแถลงการณ์อย่างเป็นทางการก่อนเกม เอฟเอ คัพ รอบ 16 ทีมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา
... ผมอยากจะชี้แจงถึงเรื่องข่าวลือตามหน้าสื่อในตลอดช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เกี่ยวกับเรื่องการเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลเชลซี ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้า ผมได้ทำการตัดสินใจทุกอย่างโดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของสโมสรตลอดมา จากสถานการณ์ปัจจุบัน ผมได้ตัดสินใจที่จะขายสโมสร เพราะผมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดกับทั้งสโมสร แฟนบอล พนักงานทุก ๆ คน และยังรวมไปถึงผู้สนับสนุน ตลอดจนหุ้นส่วนของสโมสร
การขายสโมสรจะยังไม่เกิดขึ้นแบบเร่งด่วน แต่จะเป็นไปตามกระบวนการ ผมจะไม่ขอเงินที่สโมสรได้กู้ยืมคืนมาแต่อย่างใด สำหรับผมแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องของธุรกิจหรือเงินทอง แต่มันเกี่ยวกับแพสชั่นของผมที่มีต่อเกมการแข่งขันและสโมสรอย่างแท้จริง นอกจากนี้แล้ว ผมได้สั่งให้ทีมงานจัดตั้งมูลนิธิการกุศลเพื่อบริจาครายได้สุทธิทั้งหมดที่มาจากการขาย มูลนิธิจะเป็นประโยชน์อย่างสำคัญต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อสงครามในยูเครน และยังรวมถึงการจัดหาเงินทุนสำหรับความประสงค์เร่งด่วนเพื่อช่วยสนับสนุนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม ตลอดจนการสนับสนุนและฟื้นฟูในระยะยาว
โปรดทราบว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ยากมากจนแทบไม่อยากจะเชื่อ และผมเองรู้สึกเจ็บปวดในการต้องแยกทางกับสโมสรด้วยแนวทางนี้ อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นผลประโยชน์สูงสุดของสโมสร
ผมหวังว่าผมจะได้กลับมาเยือนสแตมฟอร์ด บริดจ์อีกสักครั้ง เพื่อที่จะได้กล่าวลาทุก ๆ คนด้วยตัวของผมเอง นี่ถือเป็นเรื่องที่วิเศษมาก ๆ ครั้งหนึ่งในชีวิตของผม กับการได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรฟุตบอลเชลซี และผมภูมิใจในความสำเร็จร่วมกันของทีมเรา สโมสรฟุตบอลเชลซี และแฟนบอลทุก ๆ คนจะอยู่ในใจผมตลอดไป
ขอบคุณครับ
โรมัน ... (แถลงการณ์ที่ปล่อยโดย อบราโมวิช ผ่าน เว็บไซต์สโมสร)
คงไม่ใช่เรื่องที่กล่าวเกินไปหากจะพูดว่าการประกาศของ อบราโมวิช เป็นข่าวร้ายของแฟนบอลเชลซีที่กำลังจะเสียเจ้าของสโมสรอันเป็นที่รัก คนที่รักฟุตบอลอย่างสุดหัวใจและทุ่มเทเพื่อทีมอย่างไม่ลดละเพื่อพาไปสู่เป้าหมายความสำเร็จ
แม้จะโดนคนนอกวิจารณ์ว่าใช้กุนซือเปลือง (15 คน นับตั้งแต่เข้าซื้อกิจการ) เปลี่ยนผู้จัดการทีมไม่ต่างจากการใช้กระดาษชำระ แต่มันคือรูปแบบการทำงานของ 'เสี่ยหมี' ที่คิดเร็ว ทำเร็ว ตัดสินใจเร็ว ไม่รอให้เป็นปัญหาคาราคาซัง เพราะทีมต้องมาก่อนเสมอ
ถึงจะโดนแซะ โดนแขวะ โดนก่นด่าสารพัด แต่การทำงานของ อบราโมวิช สะท้อนออกมาจากผลงานตลอด 19 ปี เพราะมันแลกมาด้วยแชมป์ 21 รายการ ซึ่งในนั้นมี แชมเปี้ยนส์ ลีก ถึง 2 สมัยเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จ
ไม่รวมแชมป์สำคัญๆ อาทิ พรีเมียร์ลีก (5), เอฟเอ คัพ (5), ลีก คัพ (3) หรือแม้แต่ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ (2), ยูเอฟ่า ซูเปอร์ คัพ (1) และที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ คือ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ นับเป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นในยุค 'เสี่ยหมี'
ถึงตรงนี้แฟนเชลซีคงได้แต่รอว่าเจ้าของสโมสรใหม่จะเป็นใคร ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญว่า 'คนคนนั้น' จะเข้ามาสานต่อความสำเร็จที่ อบราโมวิช ทำไว้หรือไม่
แน่นอนว่าแต่ละคนย่อมมีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะฝ่ายบริหารที่จะมีแนวทางตามแบบฉบับของแต่ละบุคคล กระนั้นคำถามที่แฟนๆ สิงโตน้ำเงินคราม ต้องการทราบคือ 'คนที่เข้ามาจะรักฟุตบอลและเชลซีมากเพียงใด'
คำถามดังกล่าวเคยเกิดขึ้นในตอนที่ อบราโมวิช เข้ามาซื้อกิจการใหม่ๆ แต่มันได้แปรเปลี่ยนแนวคิดและมุมมองของทุกๆ คนไปแล้วว่าเขาคือคนที่รักฟุตบอลและทำเพื่อ เชลซี อย่างแท้จริง
หลังจากนี้สาวกเชลซีคงได้แต่หวังและภาวนาว่าเจ้าของรายใหม่จะรักสโมสรและอยากพัฒนายกระดับทีมไปยังขั้นต่อไป อย่าให้เหมือนทีมอื่นๆ ที่โดนซื้อกิจการแต่เจ้าของเอาแต่สูบเงินพร้อมพ่นวลีหลอกหูแฟนบอลไปวันๆ เอาตัวรอดไปเป็นปีๆ ชนิดที่ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป
เมื่อหมดยุค 'เสี่ยหมี' เชลซี จะเข้าสู่ยุคใหม่ซึ่งไม่มีใครทราบว่าจะเป็นเช่นไรต่อไป ทำได้เพียงปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เท่านั้น
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT