เมื่อยักษ์โดนฆ่า
จะว่าไปแล้ว เอฟเอ คัพ ปีนี้จืดไม่น้อย ไม่ใช่เพราะว่าทีมดังๆอย่าง อาร์เซน่อล หรือ ลิเวอร์พูล ตกรอบไปตั้งแต่ไก่โห่ แต่ที่มันน่าเบื่อไปหน่อยคือการที่ไม่มีทีมใหญ่ๆจับมาเจอกันก่อนเวลาอันควร
มองในแง่ดีก็อาจจะคิดได้ว่า 'เดี๋ยวค่อยไปดูรอบลึกๆก็ได้วะ' เหมือนอย่างฤดูกาลที่ผ่านมาที่นับตั้งแต่รอบก่อนรองชนะเลิศไป แฟนบอลได้ดูแต่คู่สนุกๆกันทั้งนั้น
หวังว่าปีนี้ก็คงไม่ต่างกัน ...
ส่วนวันนี้มาโหมรองก่อนที่ รอบ 5 จะลงหวดกันในวันนี้ (ศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์) โดยจะเน้นไปถึงเรื่องในอดีต ในวันที่ ยักษ์ (ใหญ่) โดยทีมรองบ่อนเสยปลายคางน้ำตาตกไปแบบช็อกแฟนบอล
เชลซี 2-4 แบร็ดฟอร์ด (รอบ 4 ปี 2015)
แฟนบอลสิงโตน้ำเงินครามคงอยากจะลืมและลบแมตช์อัปยศนี้ออกจากความทรงจำ
ดูจากชื่อชั้น, เกรดนักเตะ และความได้เปรียบที่เล่นในรังตนเอง ไม่มีใครคิดหรอกว่าวันนั้นมันจะเกิดเหตุการวินาศสันตะโรที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์
ยิ่งผ่านไป 38 นาที เกมเหมือนจะจบเพราะลูกทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ (ในเวลานั้น) ออกนำไปถึง 2-0 จาก แกรี่ เคฮิลล์ และ รามีเรส ม่านฉากถูกรูดปิด พนักงานเวทีกำลังจะเก็บฉาก แต่ก็ต้องชะงัก
จอน สเต็ด มาทำประตูความหวังให้กับ แบร็ดฟอร์ด ก่อนหมดครึ่งแรก 4 นาที และหลังจากนั้น ตำนานแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ก็เริ่มต้นอีกครั้ง
ทีมไก่แจ้ ที่แม้จะเป็นรองกลับต่อกรได้ดีและมาได้ 2 ประตูแซงนำ 3-2 จาก ฟิลิเป้ โมเรส กับ แอนดี้ แฮลลิเดย์
เชลซี ตื่นทันทีและพยายามเดินหน้าเอาคืน เกมดำเนินมาถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บที่ต่อไปไกลกว่า 7 นาที และแล้วก็มีประตูเกิดขึ้น แต่มันไม่ใช่ของเจ้าถิ่น
เป็นทาง มาร์ต เยตส์ กดฝังให้ทีมเยือนในนาที 93 ส่งให้ พวกเขาบุกคว่ำ เชลซี 4-2 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเกมที่พลิกล็อกมากที่สุดเกมหนึ่งในประวัติศาสตร์ เอฟเอ คัพ
https://youtu.be/KlfvUSjYFzA
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-2 มิดเดิ้ลสโบรช์ (รอบ 4 ปี 2015)
เป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกันที่ เรือใบสีฟ้า ตกรอบรายการนี้ด้วยน้ำมือทีมจาก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ
ปัจจัยในวันนั้นประกอบด้วยหลายอย่าง หนึ่งคือการเดินทางไกลของทีมที่ไปเก็บตัวรับแสงแดดอันอบอุ่นที่ อาบู ดาบี แต่ไม่รู้ว่าเพลินมากไปหรือเปล่าเลยกลับมาถึงอังกฤษก่อนเกมจะเริ่มเพียง 19 ชั่วโมง
และพวกเขาก็ต้องจ่ายในราคาที่แสนแพง
มีคำกล่าวไว้ว่า "ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย" และนั่นคงไม่ต่างไปจากเกมนี้
แม้ชื่อชั้นจะดีกว่า โบโร่ แต่ ณ ตอนนั้น ลูกทีมของ ไอดอร์ การันก้า กำลังเล่นได้ดีและมีทีเด็ดในแนวรุก พวกเขาสร้างความปั่นป่วนให้ เรือใบสีฟ้า ได้ดีพอตัวและยังมีเกมป้องกันที่ดี
ก่อนที่ในครึ่งหลัง แพทริค แบมฟอร์ด มาปลดล็อกให้ สิงห์แดง ออกนำ
มันทำให้ แมนฯ ซิตี้ ต้องเดินเกมรุกแต่ก็ต้องแลกกับการโดนสวนกลับเป็นระลอก ซึ่งท้ายที่สุด กีเก้ มากดฝังให้ โบโร่ บุกสอย เรือใบ 2-0 คว้าตั๋วเข้ารอบต่อไปได้สำเร็จ
https://youtu.be/qGpuDy0rye4
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-1 วีแกน (รอบชิงชนะเลิศ ปี 2013)
ขึ้นชื่อว่า เอฟเอ คัพ มักจะมาพร้อมกับมนต์เสน่ห์ ที่ทำให้แฟนบอลลุ่มหลงและประหลาดใจอยู่เสมอ
และนี่คือเกมที่ 'คลาสสิก' ที่สุดเกมหนึ่งที่เกิดขึ้นในสนาม นิว เวมบลีย์
หากเปรียบเป็นมวย มันเหมือนกับการเอานักชกฟลายเวท ขึ้นสังเวียนมางัดข้อกับ นักชกเฮฟวี่เวท
วีแกน กำลังจะตกชั้นหล่นลงไปเล่นใน แชมเปี้ยนชิพ สภาพจิตใจโดนทำร้าย สภาพนักเตะเองก็เป็นรอง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทุกด้าน
ใครจะคิดล่ะว่า จากหมูในอวยกลับกลายมา 'หมูเขี้ยวตัน' ที่พลิกสถานการณ์ จมเรือเคลือบทองลำนั้นลงได้สำเร็จ
ไม่มีใครคาดคิด แต่ทาง โรแบร์โต้ มันชินี่ กับลูกทีมทำได้ด้วยลูกโขกในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ เบน วัตสัน
นั่นคือประตูแห่งประวัติศาสตร์ เพราะมันคือประตูที่ส่งให้ทีมเล็กๆอย่าง วีแกน คว้าโทรฟี่ใหญ่เป็นหนแรกของสโมสรในรอบ 81 ปีนับตั้งแต่วันก่อตั้ง
แม้ว่า 3 วันต่อ พวกเขาจะต้องตกชั้นไปเล่นใน ชปช. แต่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในเวมบลีย์ เมื่อ 11 พฤษภาคม 2013 จะตราตรึงในหัวใจแฟนบอล เดอะ ลาติกส์ ไปตราบนานเท่านาน
https://youtu.be/YEM00kBdbfk
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-1 ลีดส์ ยูไนเต็ด (รอบ 3 ปี 2010)
แฟนบอล ปิศาจแดง ต้องตกในอารมณ์ 'อึ้งกิมกี่' หลังสิ้นเสียงนกหวีดในเกม เอฟเอ คัพ รอบ 3 เมื่อปี 2010
นี่คือหนึ่งในเกมสุดพลิกล็อกที่สุดเกมหนึ่งของ เอฟเอ คัพ เพราะดูจากขนาดทีม, เกียรติประวัติ และชื่อชั้น ต้องบอกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ข่ม ยูงทอง แบบไม่เห็นฝุ่น
แม้ว่า ลีดส์ คืออดีตมหาอำนาจลูกหนัง ทว่าในตอนนี้พวกเขาประสบปัญหาทั้งในและนอกสนาม
ในสนามคือผลงานที่ตกลงดิ่งไปเล่นในลีกวัน (ตอนนั้นกำลังฟื้นเพราะก่อนมาเยือน โอลด์ แทรฟฟอร์ด นำจ่าฝูงลีก วัน)
นอกสนามคือปัญหาการเงินที่รุมเร้าสโมสร
มองด้านไหนก็เป็นรองทุกประตู
แต่ ... มนต์เสน่ห์แห่ง เอฟเอ คัพ ยังคงทำหน้าที่ของมันแบบไม่หยุดพัก
และมันก็ดันมาเกิดขึ้นในเกมนี้
ผ่านไป 19 นาที เจอร์เมน เบ็คฟอร์ด สังหารให้ ยูงทอง ออกนำไปก่อน ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงของ ปิศาจแดง ที่จะเอาคืน
ทว่า เมื่อเวลาเดินหน้าต่อไปประตูเสมอยังไม่เกิดขึ้น มันสร้างความกังวลใจให้กับแฟนบอลเจ้าถิ่นขึ้นเรื่อยๆ
ท้ายที่สุดเมื่อสิ้นเสียงนกหวีดจาก คริส ฟอย - ลีดส์ ทำได้ด้วยการบุกมาเขี่ยอริไม่เผาผีอย่าง ปิศาจแดง ตกรอบไปแบบพลิกความคาดหมาย
https://youtu.be/owpnrxCXZJ4
ลิเวอร์พูล 0-1 วิมเบิลดัน (รอบชิงชนะเลิศ ปี 1988)
ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าสกอร์จะออกมาเป็นเช่นนี้และฝ่ายที่ได้รับการชูมือหลังจบ 90 นาที ที่ เวมบลีย์ จะเป็น วิมเบิลดัน
ลิเวอร์พูล ในตอนนั้นคือยอดทีมของเกาะอังกฤษและถือเป็นสโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในแดนผู้ดี
ต่างจาก วิมเบิลดัน ที่ล้มลุกคลุกคลานผ่านการนอนวัดพื้นกินเศษฝุ่นมาตลอดเส้นทางนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร
แต่ ... ก็อย่างที่เรียนไป ขึ้นชื่อว่า เอฟเอ คัพ ยังไงมันก็มาพร้อมกับความ คลาสสิค
มันเหมือนเป็นบทละครนิยายของสาวน้อยหน้าตามอมแมมที่สามารถเอาชนะ เจ้าหญิงผู้เลอโฉม คว้าใจเจ้าชายนาม เอฟเอ คัพ มาครองในบั้นปลาย
... ก่อนลงสนาม วิมเบิลดัน เป็นรองทุกประตู แต่หลังจากผ่านไป 37 นาที เดนิส ไวส์ เปิดฟรีคิกเข้าหัว ลอว์รี่ ซานเชซ โขกเลยส่งบอลเสียบหน้าต่างเสาไกล
รูปเกมเหมือนจะกลับมาเท่ากันหลังจาก หงส์แดง ได้จุดโทษในครึ่งหลัง แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์จารึกประวัติศาสตร์เอาไว้เมื่อทาง จอห์น อัลดริดจ์ กดไปติดเซฟ เดฟ บีแซนต์ ทำให้นายด่าน วิมเบิลดัน เป็นผู้รักษาประตูคนแรกที่เซฟจุดโทษได้ในรอบชิงชนะเลิศรายการนี้
สิ้นเสียงนกหวีด 'เดอะ เครซี่ แก๊ง' ทำได้ พร้อมกับจารึกเรื่องราวอันเป็นตำนานที่เล่ากันมาจนถึงทุกวันนี้
https://youtu.be/U9Kk3C_8sEE
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT