ประเดิมได้ดีแต่มีปัญหาเพิ่ม
โดนนำก่อนก็จริงแถมเกมดูเป็นรองและยังตั้งลำไม่ได้ แต่ทาง เลส์ เบลอส์ ไม่สั่นคลอนพยายามเล่นตามเกมของตัวเองแบบที่กุนซือสั่งมา สิ่งเหล่านั้นค่อยๆ เห็นผลชัดเจนขึ้น เพราะหลังเหตุการณ์เสียประตูและอาการบาดเจ็บของ ลูกัส แอร์กน็องเดซ ปรากฏว่าลูกทีม ดีดีเย่ร์ เดส์ช็องส์ กดดัน ออสเตรเลีย ได้ต่อเนื่อง
อย่างที่ทราบกัน ฝรั่งเศส อาศัยช่วงเวลาแค่ 5 นาทีในการแซงนำจากผลงาน อาเดรียง ราบิโอต์ และ โอลิวิเย่ร์ ชีรูด์ ซึ่งต้องยกนิ้วชมสมาธิของนักเตะตราไก่ที่ครองบอลกดดันจนตีเสมอได้สำเร็จ ที่สำคัญคือการทำประตูที่สองซึ่งต้องชมทั้งจังหวะ เพรสซิ่ง ต่อเกม และจบสกอร์
หลังจากแซงนำกลายเป็นว่าเกมเทมาทาง ฝรั่งเศส แบบชัดเจน แม้ฝั่ง ออสซี่ พยายามตั้งเกมกลับมาบ้าง ทว่าหลังจากนั้นไม่สามารถสร้างความอันตรายให้กับ ตราไก่ ได้เลย มีเพียงจังหวะโขกชนเสาของ แจ็คสัน เออร์ไวน์ ช่วงทดเวลาครึ่งแรก และนั่นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเพราะช่วงครึ่งหลังทุกอย่างกลายเป็นเกมของ ฝรั่งเศส แบบเบ็ดเสร็จ
ตราไก่ ได้สองประตูในช่วงเวลาห่างกันประมาณ 3 นาทีจากผลงาน คีลียัน เอ็มบั๊ปเป้ และ ชีรูด์ ทำให้เกมจบลงที่สกอร์ 4-1 ซึ่งสกอร์ที่ออกมาได้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แชมป์เก่าได้อย่างมากมาย
อย่างที่ทราบกันดี (โดยเฉพาะสาวก ตราไก่) ว่าก่อนเดินทางมากาตาร์ เดส์ช็องส์ กับลูกทีมมีผลงานดิ่งเหวและเลวร้ายอย่างน่าใจหาย โดยเฉพาะฟอร์มบนเวที เนชั่นส์ ลีก ที่ตกรอบแบบหมดรูป ชนะแค่นัดเดียวจาก 6 เกม ยังดีที่จบอันดับ 3 ไม่ต้องหล่นชั้นลงไปเล่นในระดับ บี
สิ่งเหล่านั้นจึงไม่แปลกใจที่แฟนบอลจำนวนไม่น้อยจะแสดงความกังวลก่อนลงเล่นนัดแรกกับ ออสเตรเลีย ไหนจะอาการบาดเจ็บที่เล่นงานแกนหลักทั้ง คาริม เบนเซม่า และ เพรสแนล คิมเพมเบ้ ยิ่งส่งผลด้านลบให้กับทีม
กระนั้นผลการแข่งขันจากเกมประเดิมสนามบนเวที เวิลด์ คัพ 2022 ทำให้ ฝรั่งเศส ลดความกดดันลงไปได้พอสมควร และยังคลายความกังวลไปได้บางส่วนก่อนเกมต่อไปที่ต้องเจอ เดนมาร์ก ทีมที่เอาชนะ ตราไก่ ได้ทั้ง 2 นัดในเวที เนชั่นส์ ลีก
ถือเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญของ 'เดเด้' และลูกทีมที่หมายมั่นล้างตา เดนมาร์ก หลังจากโดนยัดเยียดความอับอายในสองนัดก่อนหน้านี้บนเวที เนชั่นส์ ลีก ซึ่งไม่ต่างจาก โคนม ที่ต้องการชัยชนะเพราะเกมแรกทำได้เพียงเสมอ ตูนิเซีย แบบไม่มีสกอร์
ฝั่ง ตราไก่ นอกจากจะเป็นงานหนักและบททดสอบสำคัญของพวกเขา ยังมีเรื่องที่ต้องพิจารณาในการจัดทีมและใช้งานนักเตะอย่างเหมาะสม เพราะอย่าลืมว่าตอนนี้เหลือผู้เล่นแค่ 24 รายเท่านั้น ที่สำคัญฟูลแบ็กอาชีพเหลือ 2 รายคือ เบนฌาแม็ง ปาวาร์ กับ เตโอ แอร์กน็องเดซ
จุดนี้ถือเป็นเรื่องที่ เดส์ช็องส์ ต้องจัดการให้ดีทั้งในส่วนของการใช้งานและความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น (โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บ) เพราะหากใครเกิดดวงแตกเจ็บไปอีกรายจะส่งผลต่อทีมแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
มีหลายกรณีให้คาดการณ์ล่วงหน้าเผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทางแบ็กขวายังมี ฌูลส์ กุนเด้ ที่สามารถถ่างออกไปเล่นได้ หรือแม้แต่ วิลเลียม ซาลีบา ก็เคยทำหน้าที่ดังกล่าวตอนก้าวขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ แซงต์-เอเตียน ใหม่ๆ ทั้งสองจึงเป็นตัวเลือกในยามจำเป็นได้
แต่ทางซ้ายดูจะเป็นปัญหามากกว่าเพราะ เตโอ เป็นรายเดียวที่ถนัดเท้าซ้ายและคงยืนพื้นในตำแหน่งฟูลแบ็กด้านที่ว่าไปอแบบต่อเนื่อง ชนิดที่ห้ามเจ็บ ห้ามแบน แต่หากกรณีที่อยากพักนักเตะหรือมีปัญหาเกิดขึ้นจริงๆ ปาวาร์ สามารถขยับไปเล่นแบบขัดตาทัพได้ เพราะแข้งบาเยิร์นเคยทำหน้าที่ทั้งในตอนลงเล่นให้ เสือใต้ และสมัยที่กำลังสร้างชื่อเสียงกับ ลีลล์
หรือการปรับไปเล่นกองหลังตัวกลาง 3 รายก็เป็นหนึ่งในทางเลือก โดยใช้งานบรรดาปีกของทีมให้ปรับหน้าที่เป็นวิงแบ็กเหมือนตอนใช้งาน กิงส์เลย์ โกมัน ในช่วงก่อนหน้านี้ แต่กรณีดังกล่าวดูจะเร็วไปเกินไป เพราะตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น และนี่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ ในอนาคต
สิ่งสำคัญของ ตราไก่ ณ ตอนนี้คือการเตรียมตัวลงสนามเกมที่สอง เพราะหากพวกเขาเอาชนะ เดนมาร์ก ได้ตามที่ต้องการ นั่นหมายถึงการตบเท้าเข้ารอบต่อไปในทันที และสิ่งนั้นจะช่วยให้ 'เดเด้' สามารถมองเห็นทางเลือกว่าเดิมอย่างแน่นอน และยังสามารถช่วยให้กุนซือใหญ่ทดลองอะไรบางอย่างในนัดสุดท้ายได้เช่นกัน
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT