ทางออกหงส์เมื่อเจอบอลจอดบัส

สี่เกมหลังสุด ’หงส์แดง’ โดนคู่แข่งตั้งรับลึกทั้ง เวสต์บรอมวิช, นิวคาสเซิ่ล, เซาธ์แฮมป์ตัน หรือ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้โอกาสครองบอลเฉลี่ยสูงถึง 71% ก็จริง แต่ไม่มีประโยชน์เมื่อคุณเจาะคู่แข่งได้แค่เม็ดเดียว แล้วทรงของเกมถัดไปที่พบ เบิร์นลี่ย์ ก็คงไม่ต่าง 

ทีมของ ฌอน ไดซ์ อยู่ที่ 18 เรื่องเปอร์เซนต์ครองบอล (43.3%) สอดคล้องการเล่นบอลยาวเฉลี่ย-ต่อ-เกมมากครั้งสุดลีก (77 หน) 

แล้วพอหลังจากเกมเอฟเอ คัพ เยือน แมนฯ ยูไนเต็ด ( 24 ม.ค.) ทาง คล็อปป์ ต้องพาลูกน้องออกไปเยือน สเปอร์ส ของ โชเซ่ มูรินโญ่ ทีมซึ่งไม่ชอบครองบอลเช่นกัน สถิติรั้งอันดับ13 (49.2%) แต่เรื่องการทำประตูจากจังหวะโต้กลับเร็วมากสุดร่วมอันดับสามลีก ( 3 สกอร์เท่า ลิเวอร์พูล) 

ยังไม่หมดเท่านั้น ลิเวอร์พูล ต้องเจออีกบอลรับลึกคอยท่านั่นคือ เวสต์แฮม ของผจก.ทีม เดวิด มอยส์ ที่เลือกครองบอลเฉลี่ยน้อยสุดอันดับ 17 ลีก  (43.4%) 

นับเป็นโจทย์เดิมติดต่อกัน 3 ข้อให้ คล็อปป์ งัดรอยหยักสมองสะสาง หรือหากคิดไม่ตกเว็บดังเสนอแนวทางให้ลอกการบ้านได้ 

ผ่อนภาระการตั้งเกมบุกจากสองฟูลแบ็ก

หนึ่งในวิธีแก้เกมป้องกันรับแน่นในกรอบคือกระจายคู่แข่งออกด้านกว้าง ซึ่งหากเป็นช่วงเข้าฝัก เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ครอสบอลลูกเรียดลูกโด่งยังไงก็เข้าโฟกัส สร้างความอันตรายอย่างที่สุด

ทว่าชั่วโมงนี้ทั้งคู่ฟอร์มตก ด้วยปัญหาร่างกายล้าหรืออาการบาดเจ็บ - เป็นไปได้ไหมลองให้โอกาสสำรองดูบ้างทั้ง นีโค่ วิลเลี่ยมส์ หรือ คอสตาส ซิมิคาส​

ซิมิคาส ฟื้นเดี้ยงแล้ว ด้าน วิลเลี่ยมส์ ฟอร์มจากเกม เอฟเอ คัพ พบ แอสตัน วิลล่า ยังเข้าตา จึงอยากเห็น ‘เจเค’ กล้าพักแบ็กตัวหลักในคืนพฤหัสบดีนี้ ในเมื่อส่งแข่งก็เล่นไม่ออก สู้พักให้สมบูรณ์ดีกว่า 

อีกเรื่องคือบอลว่าจากแนวลึกซึ่งขาดหายไปตั้งแต่ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ บาดเจ็บ แม้เกมล่าสุดเห็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ซึ่งลงไปขัดตาทัพลองวางแม่นๆบ้าง แต่กัปตันจะเล่นดีสุดในตำแหน่งกองกลาง 

ดังนั้นคนออกบอลแนวลึกต้องปรับมาเป็น ฟาบินโญ่ เพราะตามข่าว โฌแอล มาติป พร้อมฟิตกลับมา

เช่นเดียวกันหาก ลิเวอร์พูล มีทั้ง ติอาโก้ อัลกันตาร่า ลงแข่งด้วยอีกคนต้องมีบอลเจ้าเล่ห์แทงทะลวงช่วยผ่อนเกมริมเส้น 

สร้างความน่าเกรงขามจากบอลยิงไกลมากขึ้น 

หลังจาก ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ออกจาก ลิเวอร์พูล ไปเล่นที่ บาร์เซโลน่า ปี 2018 ก็แทบไม่มีนักเตะ ‘หงส์แดง’ มีทักษะยิงไกลดีอีก เพราะนี่ก็เป็นอีกอาวุธเด็ดไว้กระจายเกมป้องกันในกรอบเขตโทษตัวเอง

ยังดีว่าเราเห็น คล็อปป์ ให้โอกาส เซอร์ดาน ชากิรี่ กลับมาเป็นตัวจริงเกมลีกอีกครั้งรอบ 13 เดือน นัดเจ๊าไร้สกอร์ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็นับว่าจับจังหวะดีขึ้นแล้ว

ดาวเตะสวิสคือหนึ่งในประกายจากเกมที่ แอนฟิลด์ ก่อนเดินถอดนาที 76 โดยตลอดเวลาบนสนามเห็นว่าพยายามยิงไกลจากแถวสองเพื่อทดสอบ ดาบิด เด เคอา 

หากวิธีการบุกแบบเดิมๆ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถเจาะเกมป้องกันต่ำในพื้นที่สุดท้าย ทางที่ดีสุดก็คือซัดมันจากแดนไกลเลย ซึ่งการให้ ชากิรี่ อยู่ในตัวใช้งานนับเป็นการสร้างความอันตรายแก่คู่แข่งอย่างแท้จริง 

เครื่องหมายคำถามคือระบบ 4-3-3 ไม่เหมาะกับ เซอร์ดาน อย่างนั้นก็เปลี่ยนแผนการเล่นสิ

ดันซาลาห์เล่นหอกเป้าระบบ 4-2-3-1

เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เซนเตอร์แบ็กคนสำคัญคือปัจจัยที่ทำให้ระบบ 4-3-3 สมบูรณ์แบบในทุกมิติการเล่น แต่เมื่อทราบว่าแข้งดัตช์คงไม่กลับมาแล้วในซีซั่นนี้ ก็มีคำถามเหตุใดไม่เปลี่ยนขุมกำลังดู? 

เมื่อบวกปัจจัย โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โดยเฉพาะ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ฟอร์มตก ก็ยิ่งสมควรต้องเขย่าขุมกำลังใหม่

เมื่อ บ็อบบี้ กำลังศูนย์เสียความมั่นก็ควรให้โอกาสคนอื่นบ้าง ชื่อของ ทาคุมิ มินามิโนะ คงถึงเวลาเรียกถูกมาลองกู้วิกฤติ

หรือถ้ายังไม่เชื่อฝีเท้า มินามิโนะ ก็ปรับเป็น 4-2-3-1 ไปเลย ดัน ซาลาห์ ไปเล่นตัวเป้าให้ ฟีร์มีโน่ เป็นหน้าต่ำ แบบนี้ได้ประโยชน์จากการเพรสซิ่งอีกเด้ง 

แม้จะทำให้คู่กองกลางงานหนักขึ้น แต่ทรงของทีมจะแน่นเมื่อตัวริมเส้นด้านบนสามารถช่วยซ้อนเกมรับได้ 

มองด้านเกมรุกระบบ 4-2-3-1 เปิดอิสระให้ตัวรุกทั้งสี่สลับตำแหน่ง วิ่งตัดไปมาได้ เปิดทาง ชากิรี่ โขยกกราบขวาให้ลากตัดยิงไกลเท้าซ้าย ทีนี้เจาะรสบัสไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป 

เพราะเมื่อสร้างโอกาสได้หนแล้วหนเล่าแล้ว ถึงที่สุดดวงดีจะมาเอง แต่ช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านเราสร้างสรรค์ความหวาดเสียวบนพื้นที่สุดท้ายน้อย เทพีแห่งโชคจึงยังไม่เผยอยิ้มตอบ