ขนสถิติแย่ๆมากองเพื่อรอวันฟ้าหลังฝน
สถานการณ์ ‘หงส์แดง’ ตามหลัง อาร์เซน่อล จ่าฝูงไปแล้วถึง 14 แต้ม ทางผจก.ทีม เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังออกตัวแล้วว่าไม่กล้าหวังแชมป์ลีก 2022-23 ขอกลับฝั่งให้ได้ก่อน
ซึ่งดูแล้วก่อนฟีฟ่า เวิลด์ คัพ ยากจะฟื้นสำเร็จ เมื่อดูโปรแกรมเตะแล้วก็น่าอ่อนใจ
เริ่มต้นฤดูกาลแย่สุดรอบทศวรรษ
มีเพียง 10 แต้มจากการเล่น 8 นัดแรกฤดูกาลใหม่ นับเป็นสถิติเครื่องร้อนช้าสุดนับจากซีซั่น 2012-13
ต้นทศวรรษ 2010 คือหนึ่งในยุคมืดของ ลิเวอร์พูล โดยมันคือการเริ่มรับงานปีแรกของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส บทสรุปจบที่ 7 จากซีซั่นก่อนนั้นได้ที่ 8
ภาพรวมออกตัวของบอสไอร์แลนด์เหนือได้ 9 แต้มจาก 8 แมตช์เดย์
ส่วนยุคพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่เริ่มต้นซีซั่นแย่กว่า คล็อปป์ ก็มีฤดูกาล 1992-93 (9 แต้ม) และ 2010-11 (6 แต้ม)
นับเป็นความแตกต่างอย่างมากกับ 3 ฤดูกาลก่อนนั้นภายใต้การทำงานของ ‘เจเค’ เมื่อเริ่มจาก 24 แต้มเต็มฤดูกาล 2019-20 จากนั้น 17 แต้ม และ 18 แต้มตามลำดับ
ฟอร์มนอกรังแอนฟิลด์คือโจทย์ใหญ่ฤดูกาลนี้เมื่อไม่ชนะใครเลย หนสุดท้ายที่เกิดก็ซีซั่น 2010-11 ยุคอดีตผจก.ทีม รอย ฮอดจ์สัน แล้วแกก็โดนปลดกลางฤดูกาล
ออกตัวครึ่งแรกขี้เหร่
สถิติผลงานหลายอย่างแย่กว่าฤดูกาลก่อนๆ โดยเฉพาะฟอร์ม 45 นาทีแรกสุดป่วย
เพราะถ้าเกมจบแค่ครึ่งแรก ‘หงส์แดง’ จะอยู่บ๊วยตารางมีเพียง 4 แต้ม
ไม่ว่าเหตุผลใดที่ทำให้พวกเขาเครื่องร้อนช้า แน่นอนมันส่งผลต่อผลงานฤดูกาลนี้อย่างใหญ่หลวง
ในทางกลับกันหากเอาแค่ประตูในครึ่งหลังมานับผล ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะอยู่ที่สองตารางตามหลังเพียง แมนฯ ซิตี้
นั่นหมายความว่า ลิเวอร์พูล สามารถร่วมแรง ร่วมใจเค้นฟอร์มตัวเองได้ - ตีความคือหากออกตัวให้ดีหน่อยจะสามารถกลับมาเป็น ‘หงส์แดง’ แบบที่เราคุ้นเคย
ซีซั่น 2022-23 ลิเวอร์พูล ตามหลังคู่แข่งเมื่อจบครึ่งแรก 6 จาก 8 ครั้ง ผิดกับฤดูกาลก่อนแค่หนเดียว เกมเจ๊า แมนฯ ซิตี้ 2-2 ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม
ตัวอย่างจากนัดล่าสุดอุตส่าห์ได้ ดาร์วิ่น นูนเญซ ตีเสมอ 1-1 เมื่อผ่านครึ่งชั่วโมง แต่ก็มาตาม 1-2 ช่วงทดเจ็บครึ่งแรกจาก บูคาโย่ ซาก้า
อีหรอบเดิมตามก้นเมื่อเข้า 45 นาทีท้าย
เสียประตูแรกก่อนประจำ
ลิเวอร์พูล สร้างงานให้ตัวเองทั้งนั้นกับประตูแรกของเกมที่เสีย
ยิ่งย้อนไปถึงฤดูกาลก่อนด้วยมีถึง 10 จาก 12 นัดที่โดนคู่แข่งส่องขึ้นนำไปก่อน
เปรียบกับ 12 เกมลีกก่อนหน้า มีเพียง 2 นัดที่โดนเจาะตาข่ายก่อน นั่นคือแซงชนะ นอริช ที่แอนฟิลด์ 3-1 และเจ๊า แมนฯ ซิตี้ 2-2 ถึง เอติฮัด สเตเดี้ยม
รู้ว่าเอาคืนได้แต่เรื่องเจ็บแล้วไม่จำ ยังตามหลอกหลอน
เพราะไม่ใช่ทุกเกมจะกลับมามีแต้มได้อย่างนัดเจอ ‘ปืนใหญ่’ หรือ แมนฯ ยูไนเต็ด นั่นชัดเจน, เกมเจ๊า ไบรท์ตัน 3-3 กับเสมอ ฟูแล่ม 2-2 ไม่ใช่เรื่องเกิดได้ตลอด
เมื่อประสิทธิภาพเกมรุกก็มีบู่ทั้งนัดเสมอ คริสตัล พาเลซ 1-1 หรือเจ๊าไร้สกอร์ เอฟเวอร์ตัน
แมตช์เชือด นิวคาสเซิ่ล 2-1 ก็ต้องรอจน 8 นาทีท้าย
ดังนั้นต้องยกยกระดับผลงานเกมป้องกันเพราะปัจจุบันเฉลี่ยเสีย 1.5 ลูก-ต่อ-นัด เทียบกับ 0.7 ประตู-ต่อ-นัด เมื่อทั้งฤดูกาลก่อน มันมากกว่าเท่าตัว
การเปิดโอกาสคู่แข่งลุ้นประตูซีซั่นนี้ 8.8 ครั้ง-ต่อ-นัด มากกว่าเดิมเช่นกันเพราะเคยแค่ 7.8 ครั้ง-ต่อ-นัด
เก็บได้อีกแค่ 5 แต้มจากนัดถล่มบอร์นมัธ
การถล่ม บอร์นมัธ 9-0 ในแมตช์เดย์ 4 ทำให้เหล่า ‘เดอะ ค็อป’ คาดหวังอะไรๆที่ดีขึ้น แต่ดูเหมือนไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะก็ยังทรงเดิม เติมมาอีกเพียง 5 แต้ม โดยมีชัยชนะหนเดียวคือเชือด นิวคาสเซิ่ล ท้ายเกม
ตรงกันข้ามกับ ‘เชอร์รี่ส์’ เพราะตั้งแต่แพ้ ‘หงส์แดง’ แล้วไล่ สกอตต์ พาร์คเกอร์ ออกจากตำแหน่งเฮดโค้ช ทีมไร้พ่าย 5 นัดติด ปราบได้ทั้ง ฟอเรสต์ กับ เลสเตอร์
ทีมของรักษาการเฮดโค้ช แกรี่ โอนีล ขึ้นมาอยู่ที่ 8 ตาราง แต้มเหนือกว่า ลิเวอร์พูล ลำดับ 10 อยู่ 2 คะแนนด้วยซ้ำ
โมเมนตัมดีๆที่ควรได้จากวันดังกล่าว เหมือนเป็นของ บอร์นมัธ มากกว่าทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์
สถิติคลีนชีตขี้เหร่
การประสบความสำเร็จของ ลิเวอร์พูล 2-3 ปีหลังมาจากพื้นฐานเกมป้องกันเหนียวแน่น
เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เคยได้ชื่อว่าเป็นเซนเตอร์แบ็กที่ดีสุดโลก ไม่ว่าจับคู่พาร์ทเนอร์คนไหนทั้ง โฌแอล มาติป, อิบราฮิม่า โกนาเต้ หรือ โจ โกเมซ
ส่วนนายด่าน อาลีสซง เบ็คเกอร์ ก็ถูกขนานนามเหนียวสุดเบอร์ต้นเช่นกัน
แต่ฤดูกาลนี้มันแปลกเมื่อ ‘วีวีดี’ ดูเสียความมั่นใจ, กองกลาง ‘หงส์แดง’ ไม่เขี้ยว, ฟูลแบ็กรั่ว - ประตูที่เสียจึงไหลมาเทมา
12 นัดในลีกหลังสุด (รวมฤดูกาลก่อน) ลิเวอร์พูล มีคลีนชีตแค่ 2 หน ผิดกับ 12 นัดก่อนหน้าที่ได้ตั้ง 10 คลีนชีต
เรื่องสถิติทำประตูฤดูกาลนี้ ‘หงส์แดง’ เป็นรองแค่ แมนฯ ซิตี้ กับ อาร์เซน่อล แต่เนื่องเสียประตูมีแค่ 7 ค่ายที่โดนรัวมากกว่า 12 ลูกของพวกเขา ประกอบด้วย - แมนฯ ยูไนเต็ด, ฟูแล่ม, เบรนท์ฟอร์ด, บอร์นมัธ, เซาธ์แฮมป์ตัน, ฟอเรสต์ และ เลสเตอร์
สถิติอันน่าตกใจอื่นๆ
ลิเวอร์พูล ยังมีอีกหลายผลงานแย่ๆเช่นตามหลังคู่แข่งในฤดูกาลนี้รวมแล้ว 251 นาที มากกว่าทั้งซีซั่นก่อนรวมกันเพียง 236 นาที
ครั้นจะหวังพึ่งแค่แนวรุกอาจดูผลักภาระเพราะต่อให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ติดเครื่องทำไป 6 ลูกแล้ว แต่ทีมเพิ่งเสีย หลุยส์ ดีอาซ รองดาวซัลโว 3 ประตูหายหน้าจนกว่าผ่าน 8-10 สัปดาห์
ตัวใหม่ ดาร์วิ่น นูนเญซ เพิ่งทำได้ 2 ลูก, ดิโอโก้ โชต้า กำลังฟื้นเดี้ยงเคาะสนิมอยู่
แต่ที่น่าผิดหวังสุดคือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดาวซัลโวร่วม 23 ประตูเมื่อฤดูกาลก่อน มาปีนี้สุดทื่อเพราะตั้งแต่ซัดใส่ แมนฯ ยูไนเต็ด 22 ส.ค. จากนั้นไร้ชื่อขึ้นสกอร์บอร์ดไล่จากเกมถล่ม บอร์นมัธ, นิวคาสเซิ่ล, เอฟเวอร์ตัน, ไบรท์ตัน และ อาร์เซน่อล
อย่างนัดที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ได้สัมผัสบอลในกรอบเขตโทษคู่แข่งหนเดียว จากนั้นโดนถอดออกอย่างน่าประหลาดใจช่วง 20 นาทีท้าย
การผ่านบอลเข้าพื้นที่สุดท้ายคือจุดอ่อนของ ‘หงส์แดง’ อย่างเกมล่าสุดเปอร์เซนต์ครองลูกมากกว่า ทว่าได้เข้ากรอบคู่แข่งแค่ 19 หน ต่างจาก อาร์เซน่อล ทีมากกว่า 46 ครั้ง
อาการติดหล่มทำให้นึกถึงฤดูกาล 2020-21 ที่ตัวหลักเดี้ยงบาน เดชะบุญทีมยังสามารถจบลำดับ 3
มาซีซั่นปัจจุบันตัวเดี้ยงทยอยเพิ่ม แต่ก็ดูมี 11 คนแรกที่ดีกว่าเมื่อสองปีก่อนให้เลือกใช้
ขอเพียงแก้ปัญหาผลงานครึ่งแรกได้ ความมั่นใจคงฟื้น เพราะหากเป็นแบบอื่นแค่แย่งสี่อันดับแรกยังเหนื่อย
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT