เราจะไม่มีวันเดินเดียวดายแต่พร้อมอับอายเป็นหมู่คณะในเวิลด์คัพ
6.
แคเมอรูน 1-
อาร์เจนตินา 0 /
มิลาน
ประเทศอิตาลี
ปี 1990
ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานผู้ล่วงลับอุตส่าห์จุดประกายชาติให้เรืองรองเมื่อสี่ปีก่อนนั้นด้วยตำแหน่งแชมป์ ทว่าสถานะดังกล่าวดูเหมือนเป็นแรงกดดัน ผสานความประมาทจนทำให้หัวทิ่มตั้งแต่เกมแรกที่อิตาลี
นิยามของเกมดังกล่าวคือเน้นหวดคนมากกว่าหวดบอล เมื่อ แคเมอรูน เลือกเตะทุกอย่างซึ่งเคลื่อนไหวไปกับลูกได้ให้ยางแตกภายในรัศมี 5 หลา
ยื้อกระทั่ง ฟร็องซัวส์ โอมาม-บิยิก อาศัยจังหวะกองหลังอาร์เจนไตน์เหม่อ โหม่งเล่นทางผ่านผู้รักษาประตู เนรี่ ปัมปีโด ตุงตาข่าย ขึ้นนำ 1-0 ทั้งที่ชาติจากแอฟริกาเหลือผู้เล่น 10 คน
แล้วต่อให้ กิลแบร์ แมสซิ่ง โดนใบแดงที่สองของทีม ‘หมอผี’ บทสรุปผลการแข่งขันก็ไม่เปลี่ยน
ยังดีว่า ‘ฟ้า-ขาว’ สามารถกระเสือกกระสนกู้ผลงานจากนั้นจนถึงนัดชิงฯ แต่ก็ไปแพ้แก่ เยอรมัน ตะวันตก 0-1 พลาดแชมป์โลกสมัย 3
5. แอลจีเรีย 2 - เยอรมัน ตะวันตก 1 / กีฆอน ประเทศสเปน ปี 1982
ไม่มีใครคาดฝันว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น ซึ่งพอมันเกิดทางบุนเดสเทรนเนอร์ จุ๊ปป์ แดร์วอลล์ และพลพรรค ‘อินทรีเหล็ก’ ก็หงายท้องตึง
เกมสวนกลับของ แอลจีเรีย ทำได้เด็ดดวงขึ้นนำ 1-0 ในต้นครึ่งหลังจาก ราบาร์ แมดเจอร์ อัดจ่อๆตุงตาข่าย
แต่จากนั้นทีมชาติเยอรมันตีเสมอ 1-1 โดย คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ สังหาร 4 หลาไม่เหลือซาก
เกมเปิดแลกสนุกทีมจากแอฟริกาเหนือขึ้นนำอีกครั้ง 2-1 ซาลาห์ อาสซ้าด ขึ้นบอลทางซ้ายเปิดให้ ลักห์ดาร์ เบลลูมี่ เผด็จศึกสำเร็จ
เกมดังกล่าวกลายเป็นนาฬิกาปลุกให้ เยอรมัน มีฮึดจนจบหัวแถวทั้งเฟสแรก และ เฟสสองของรอบแบ่งกลุ่ม ส่วนบทสรุปของทัวร์นาเมนต์ได้รองแชมป์เมื่อพ่าย อิตาลี นัดชิงฯ 1-3
4. ญี่ปุ่น 2 - เยอรมัน 1 / กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ปี2022
อุตส่าห์มีบทเรียนไปเมื่อวันก่อน อุตส่าห์ออกตัวว่าจะไม่เป็นเหมือนเขา แต่สุดท้ายลูกทีมของ ฮันซี่ ฟลิค ที่ควรจะงานง่ายหลายจังหวะไม่เฉียบขาดพอ - ถือเป็นอีกเกมสุดพลิกล็อคแห่งกาตาร์ เวิลด์ คัพ
เยอรมัน ขึ้นนำ 1-0 จากจุดโทษของ อิลคาย กุนโดกัน ในครึ่งแรก แถมจากนั้นควรบวกเพิ่มอีกหลายดอกทั้งชนเสา, ชนคาน และโดนจับล้ำหน้า
กระทั่งมาโดนชุดทีเด็ดตัวสำรองของ ‘ซามูไรบลู’ ช่วง 15 นาทีท้ายจากลูกซ้ำดาบสองของ ริทซึ โดอัน และ ทาคูมะ อาซาโนะ ซัดมุมแคบสุดเหนือชั้น แซงปล้น 3 แต้มหน้าตาเฉย
3. เกาหลีเหนือ 1 - อิตาลี 0 / มิดเดิ้ลสโบรช์ ประเทศอังกฤษ ปี 1966
โบว์ดำของทีมชาติอิตาลีที่ต้องเก็บข้าวของขึ้นเครื่องกลับบ้านก่อนเวลาอันควร จากน้ำมือของชาติไกลปืนเที่ยงซึ่งมาเตะทัวร์นาเมนต์แบบกะทันหัน
โดยเกมดังกล่าว ‘อัซซูรี่’ ขอแค่ผลเสมอก็จะเข้ารอบต่อไป แต่ดันแพ้ด้วยประตูโทนของ พัค ดู-อิค ในครึ่งแรก
ดาวยิงเลือดโสมแดงไม่เพียงช่วยชาติคว้าชัย แต่เมื่อกลับประเทศกองทัพบกยังได้เลื่อนยศจากสิบตรีไปเป็นจ่าบั้งคว่ำ
ขณะที่ภาพรวมทีมก็ผ่านเข้ารอบน็อคเอาต์ ในโควตาของ อิตาลี
2. ซาอุดีอาระเบีย 2 - อาร์เจนตินา 1/ ลูเซล ประเทศกาตาร์ ปี 2022
ตามแผนงานคือ ซาอุฯจะเป็นขั้นบันไดให้ ลิโอเนล เมสซี่ ไต่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดแบบหล่อๆเมื่ออุตส่าห์ซัดจุดโทษขึ้นนำ 1-0 ในเวลาไม่ถึง 10 นาที
ยิ่งกว่านั้น ‘อัลบีเซเลสเต้’ น่าจะยำใหญ่แต่เพราะโดนวีเออาร์ริบโอกาสส่งบอลตุงตาข่ายสามครั้งจากนั้นทั้งหมด
เมื่อฝาโลงยังแง้ม ทางเศรษฐีน้ำมันก็คว้าโอกาสนั้นรัวแซงท้ายเกมจาก ยาห์ยา อัล เชห์รี่ และ ซาเล็ม อัล ดอว์ซารี่ สยบหนึ่งในตัวเต็งแชมป์ให้กลับไปปรับทัศนคติ
1. อังกฤษ 0- สหรัฐฯ 1/ เบโล โฮริซอนเต ประเทศบราซิล ปี 1950
ทีมชาติอังกฤษเดินทางไปแข่งขันยังบราซิลแบบหล่อๆ คาดหวังจะเป็นหนึ่งในชาติลุ้นแชมป์โลก
จนมาถึงเกมดวลสหรัฐฯ ดันขอพักตัวเก่ง สแตนลี่ย์ แมทธิวส์ แต่ขุมกำลังอื่นๆยังมี สแต มอร์เทนเซ่น, ทอม ฟินนี่ย์ และ อัลฟ์ แรมซี่ย์ ภาพรวมโขยกข้างเดียวแต่ยิงไม่เข้า
กระทั่งมาโดน โจ เกตฌอง ผู้เล่นที่เกิดบนเกาะเฮติแต่อพยพมาใช้ชีวิตบนแผ่นดินเสรี ซัดประตูโทน 1-0 เก็บชัย
บทสรุป ‘สิงโตคำราม’ ตกรอบแบ่งกลุ่มแบบชนะเกมเดียวเหนือ ชิลี ควงแขนสหรัฐฯกลับมามาตุภูมิ ขณะที่แชมป์กรุ๊ป เป็นของ สเปน
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT