จากผู้ลี้ภัยสงครามสู่ยอดนักเตะ
หากเอ่ยถึงมิดฟิลด์ดีที่สุดในโลก ณ ห้วงเวลานี้คงต้องมีชื่อของ ลูก้า โมดริช มิดฟิลด์ชาวโครแอตของ เรอัล มาดริด เป็นหนึ่งในนั้น
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2006 บนสังเวียน'เซนต์ จาค็อบ ปาร์ค'ของเมืองบาเซิ่ล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นั่นคือแมตช์ประเดิมสนามในนามทีมชาติโครเอเชียของโมดริช
ทีมโครแอตของ ซลัตโก้ ครานชาร์ ยกพลมาเตะอุ่นเครื่องกับ อาร์เจนตินา ของ โฮเซ่ เปเกร์มาน เพื่อทดสอบผู้เล่นก่อนศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่เยอรมัน
โครเอเชีย มีปัญหาตั้งแตก่อนเริ่มเกมหลัง โรเบิร์ต โควาช เจ็บเท้าซ้ายตอนอบอุ่นร่างกาย อีกอร์ ทูดอร์ จึงได้โอกาสลงเล่นตัวจริง ขณะเดียวกันกันครานชาร์ยังตัดสินใจส่งโมดริชมิดฟิลด์วัย 21 กะรัตจาก ดินาโม ซาเกร็บ ลงเล่นกับทีมโครแอตเกมแรกด้วย
มันเป็นเกมที่ทีมโครแอตฮึดกลับมาคว้าชัยชนะแบบเหลือเชื่อ หลัง อีวาน คลาสนิช พังประตูให้โครเอเชียนำ 1-0 ตั้งแต่นาทีที่ 3 แต่ อาร์เจนตินา พลิกแซงนำ 2-1 จากการทำประตูของ การ์ลอส เตเวซ กับ ลิโอเนล เมสซี่ นาทีที่ 4 กับ 6 ตามลำดับ
ดาริโย เซอร์น่า จะทำประตูตีเสมอ 2-2 นาที 52 ก่อน โครเอเชีย จะมาได้ประตูพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะจาก ดาริโอ ซิมิช ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บท่ามกลางความตื่นเต้นของผู้ชมราว 13,000 คน
ที่น่าเหลือเชื่อกว่าการพลิกกลับมาคว้าชัยเหนือทีมฟ้าขาวคือบรรดากูรูลูกหนังกับผู้สื่อข่าวต่างให้คะแนนความสามารถโมดริชสูงถึง 7.5 เต็ม 10 คะแนนพร้อมมอบรางวัล'แมน ออฟ เดอะ แมตช์'ให้มิดฟิลด์วัย 21 กะรัตอย่างเป็นเอกฉันท์
นับจากวันแรกที่เมืองบาเซิ่ลผ่านมาจนถึงวันนี้ โมดริช เติบโตขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้เล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ดีที่สุดในโลกยุคปัจจุบันและกำลังจะทำสถิติลงเล่นกับทีมชาติโครเอเชียครบ 100 นัดในเกมรับมือฟินแลนด์คืนวันศุกร์นี้
โมดริชย้อนความหลังถึงแมตช์ประเดิมสังเวียนระดับชาติที่เมืองบาเซิ่ลเมื่อ 11 ปีก่อนว่า'ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ลงเล่นแมตช์นี้ ผมจึงมีความสุขมาก อาร์เจนตินามีนักเตะที่มีความสามารถเฉพาะตัวยอดเยี่ยมหลายคนทั้ง เมสซี่, ริเกลเม่, เตเวซ, เกรสโป แต่เราบังคับให้พวกเขายอมรับความพ่ายแพ้'
หลังเกมประเดิมสนามกับทีมโครแอตพร้อมคว้ารางวัล'แมน ออฟ เดอะ แมตช์'ทำให้มีเสียงยกย่องมิดฟิลด์ดาวรุ่งจาก ดินาโม ซาเกร็บ ว่าเป็นเมสซี่แห่งโครเอเชีย แต่โมดริชยืนยันว่าเขายังต้องใช้ความพยายามเพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนยอมรับว่าเขาสมควรมีตำแหน่งในทีมชาติที่เตรียมตัวลงทำศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่เมืองเบียร์
'หลังเกมนั้นผมไม่คิดว่าผมจะดีขึ้นกว่าที่ผมเคยเป็นมาก่อนหน้านั้น ผมไม่คิดว่าจะสามารถรักษาตำแหน่งในทีมชาติของตนเองได้ด้วย ผมจึงต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าผมสมควรอยู่ในทีมชุดทำศึกฟุตบอลโลก'
โมดริชทำให้หลายคนรู้สึกทึ่งจากแนวทางการเล่นที่เต็มไปด้วยเทคนิคซึ่งไร้ที่ติและเล่นบอลอย่างชาญฉลาดจนสร้างความประหลาดใจให้นักเตะอาร์เจนไตน์
ครานชาร์ไม่พยายามให้โมดริชแบกรับความรับผิดชอบมากเกินไป เขามอบหน้าที่ดังกล่าวให้ นิโก้ ครานชาร์ บุตรชายของเขา ดังนั้นโมดริชจึงไม่มีส่วนร่วมกับเกมประเดิมศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่พ่าย บราซิล 0-1
โมดริช ลงเล่นเป็นตัวสำรองในเกมต่อมากับ ญี่ปุ่น หลังลงสนามแทนครานชาร์ช่วงนาที 78 แต่ทีมโครแอตทำได้แค่เสมอทีมปลาดิบ 0-0 หลัง ดาริโย่ เซอร์น่า พลาดจุดโทษตั้งแต่นาที 22
โครเอเชีย ต้องลงเตะชี้ชะตากับ ออสเตรเลีย ในเกมสุดท้ายซึ่งโมดริชยังเป็นตัวสำรอง โดยมีโอกาสลงเล่นช่วง 15 นาทีสุดท้ายแทน อิวิช่า โอลิช แต่ทีมโครแอตพลาดท่าถูกทีมออสซี่ตีเสมอในช่วงก่อนหมดเวลา 10 นาทีจาก แฮร์รี่ คีลล์ หลังจบเกมโมดริชกับชาวคณะจึงต้องเก็บของกลับบ้านก่อนเวลาอันควร
ทีมตราหมากรุกตกรอบแรกของศึกฟุตบอลโลก 2006 พร้อมการอำลาตำแหน่งของ ซลัตโก้ ครานชาร์ แต่โมดริชยังคงเป็นขุมกำลังของทีมชาติโครเอเชียตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา มิดฟิลด์วัย 32 ผ่านงานกับเทรนเนอร์หลายรายทั้ง สลาเวน บิลิช, อีกอร์ สตรีมาช, นิโก้ โควาช จนถึงมือ อันเต้ ชาชิช เทรนเนอร์คนปัจจุบันซึ่งมอบหมายให้เขาเป็นกัปตันทีมหลังการประกาศอำลาทีมชาติของ ดาริโย่ เซอร์น่า
โมดริชเผชิญกับสงครามกลางเมืองตั้งแต่วัยเด็กที่บ้านเกิดในเมืองโมดรีชี่่ซึ่งอยู่ใกล้กับ ซาตอน โอโบรวาชกี้ คุณปู่เขาถูกสังหารที่นั่น โมดริชกลายสภาพเป็นผู้ลี้ภัยสงครามที่กินเวลานานพอสมควร ห้วงเวลาที่ยากลำบากนั้นเขาไม่มีโอกาสสัมผัสเกมฟุตบอลที่รัก แต่เขาไม่เคยเลิกหลงใหลมันเลย
เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากของชีวิต โมดริชมีโอกาสกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งกับทีมเยาวชนของ เอ็นเค ซาดาร์ ก่อนย้ายมาอยู่กับสโมสรระดับประเทศอย่าง ดินาโม ซาเกร็บ เมื่อปี 2003
ดินาโม ซาเกร็บ ปล่อยโมดริชย้ายไปเล่นกับ ซรินสกี้ มอสตาร์ สโมสรของบอสเนียฯด้วยสัญญายืมตัว ก่อนกลับมาเล่นกับ อินเตอร์ ซาเปรชิช สโมสรโครเอเชียในปีต่อมาและหวนคืนสู่ต้นสังกัดแท้จริงในปี 2005
ลูก้า โมดริช โชว์ฟอร์มโดดเด่นจน สเปอร์ส ยอมจ่าย 21 ล้านยูโรดึงตัวไป'ไวท์ ฮาร์ท เลน'ช่วงซัมเมอร์ปี 2008 ก่อนมิดฟิลด์ชาวโครแอตจะย้ายมาเล่นกับ เรอัล มาดริด ในอีก 4 ปีหลังจากนั้นด้วยค่าตัว 33 ล้านยูโร
ชีวิตของโมดริชคล้ายกับ ยอสโก้ สโกบลาร์, สลาเวน ซามบาต้า และ ซโวนิเมียร์ โบบัน ซึ่งถูกปฏิเสธจากทีมเยาวชนของ ไฮย์ดุ๊ค สปลิท เช่นเดียวกับเคสของ นิโกล่า โมโร่ ในปัจจุบัน ดังนั้นมิดฟิลด์วัย 32 ปีจึงไม่เคยลืมบุญคุณของ โทมิสลาฟ บาชิช ซึ่งเป็นคนชักนำเขามาสู่ ดินาโม ซาเกร็บ
'ตอนผมอายุเกือบ 13 ปีตอนที่โครเอเชียติดตามบอลฝรั่งเศส ครอบครัวของผมมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยที่มาจาก ซาตอน ใกล้ๆ โอโบรวาช พวกเราต้องอาศัยอยู่ในโรงแรมโคโลวาเร่ในซาดาร์ พวกเด็กๆจะยึดห้องทีวีชั้นล่างและรอดูการแข่งจาก ล็องส์, น็องต์, บอร์กโดซ์ หรือ ปารีส'
'พ่อของผม สตีเป้ และคุณลุง เซลโก้ อยู่กับผู้ใหญ่อีกหลายคน มันเป็นช่วงเวลาที่ผมไม่เคยลืม หลังการเป็นผู้ลี้ภัยราว 6 ปี ผมได้เป็นนักเตะเยาวชนของ เอ็นเค ซาดาร์ ผมรู้จักฟุตบอลและนักฟุตบอลมากขึ้น แม้ว่าผมจะไม่เคยพบกับพวกเขาเลยก็ตาม'
'โดยธรรมชาติแล้ว ผมมักจะดีใจแทบบ้าทุกครั้งที่โครเอเชียยิงประตูและในโรงแรมจะไม่ได้ยินเสียงอะไรก็ตามแต่เราก็ตะโกนร้องกันทุกครั้ง'
'ผมเคยพลาดชมเกมเดียวกับฮอลแลนด์ตอนที่ผมอยู่โปเรช ซึ่งกำลังฉลองกับการคว้าเหรียญทองแดงในซัมเมอร์แคมป์'
'ผมเชื่อมั่นในโครเอเชีย ในคุณภาพของนักเตะเจนเนอเรชั่นที่น่าประทับใจนี้ ในเวลานั้นผมไม่กล้าฝันเกี่ยวกับการเล่นให้ทีมชาติโครเอเชียในวันหนึ่ง แต่ผมมีความมุ่งมั่นที่จะก้าวมาเป็นหนึ่งของโครเอเชียได้'
โมดริช เป็นนักเตะร่างเล็กสูงเพียง 1.74 เมตร แต่เขายืนหยัดต่อสู้ด้วยหัวใจที่ยิ่งใหญ่ โมดริชยังเล่นฟุตบอลด้วยวิสัยทัศน์สมบูรณ์แบบ เปลี่ยนจังหวะและทิศทางการเล่นอย่างน่าทึ่งและงดงาม
มันจึงดูเหมือนว่าลูกฟุตบอลถูกผูกติดอยู่กับเท้าเขา โมดริชมีความสามารถในการมองหาเพื่อนร่วมทีมผ่านบอลแม่นยำสู่เป้าหมายและเป็นคนสร้างการโจมตีแนวรับคู่แข่ง เขาจึงเป็นนายใหญ่ของแผงมิดฟิลด์ เรอัล มาดริด
โมดริช ยังเป็นสุภาพบุรุษนักเตะไม่เคยมีใครได้ยินเสียงสบถคำหยาบคายจากเขาแม้แต่ครั้งเดียว เขาจะขอโทษนักเตะคู่แข่งและผู้ตัดสินทุกครั้งที่ทำฟาวล์จนผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามต้องยอมซูฮก
ชีวิตนอกสนามของโมดริชยังมีครอบครัวที่อบอุ่น เขาเพิ่งได้สมาชิกใหม่เป็นลูกสาวคนที่ 3 กับภรรยา วานย่า ส่วนบุตรสาวสองคนแรกชื่อ อีวาโน่ กับ เอม่า
ลูก้า โมดริช กำลังจะลงรับใช้ทีมชาติโครเอเชียครบ 100 นัดในเกมเปิดสังเวียน'สตาดิโอน กราดสกี้ เวิร์ต'ของเมืองโอซิเย็ครับมือ ฟินแลนด์ ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกคืนวันศุกร์นี้ ก่อนทีมโครแอตจะยกพลเยือน ยูเครน ในนัดชี้ชะตาสู่รอบสุดท้ายในวันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม
ในฐานะกัปตันทีมชาติโครเอเชีย โมดริช มีเป้าหมายเดียวในเวลานี้คือการนำทีมตราหมากรุกมุ่งหน้าสู่เมืองหมีขาวในช่วงกลางปีหน้าเพื่อสานฝันสู่ความสำเร็จตามรอยแข้งรุ่นพี่ที่เคยคว้าอันดับ 3 เมื่อปี 1998 นั่นเอง
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT