สเปนเปลือยจุดอ่อน...
สเปน ยุคใหม่ออกตัวสวยด้วยการเดินหน้ากำชัยชนะ 3 นัดรวด กระทุ้งคู่แข่งรวมกัน 12 ประตูจากชัยชนะเหนือ อังกฤษ 2-1, โครเอเชีย 6-0 ตบท้ายด้วยเกมขย่ม เวลส์ 4-1
หลุยส์ เอ็นรีเก้ มาร์ตีเนซ ได้รับเสียงชื่นชมจากทั่วสารทิศจากการพลิกโฉมหน้าทัพกระทิงกลับมาเป็นทีมที่น่าเกรงขามอีกครั้งก่อนที่ทีมของเทรนเนอร์วัย 48 ปีจะพลาดท่าต่อทัพสิงโตคำรามเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาจนมีหลายประเด็นเกิดขึ้นตามมามากมาย
มันเป็นการแพ้คาบ้านครั้งแรกของ สเปน นับตั้งแต่ปี 2003
สเปน พ่าย กรีซ 0-1 จากการทำประตูชัยของ สตีเลียนอส จานนาโคปูลอส ในการเล่นรอบคัดเลือกของศึกยูโร 2004 บนสังเวียน'เอสตาดิโอ ลา โรมาเรด้า'ของเมืองซาราโกซ่าเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2003
นับจากวันนั้น สเปน ทำสถิติชนะ 34 เสมอ 4 จากการลงเล่นในบ้านตลอด 38 เกมที่ผ่านมา ก่อนสถิติสวยหรูจะยุติลงบนสังเวียน'เบนีโต้ บียามาริน'ด้วยน้ำมือทัพสิงโตคำรามเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
จาก 38 นัดดังกล่าว สเปน กระทุ้งคู่แข่งรวมกัน 45 ประตูและเสียเพียง 2 ประตูจาก อากิม อิบราอิมี่ ของ มาซิโดเนีย กับ ลิออร์ ราฟาเอลอฟ ของ อิสราเอล เท่านั้น
มันยังเป็นการพ่ายแพ้ครั้งแรกในรอบ 27 เกมหลังสุดหรือ 840 วันของทัพกระทิง นับตั้งแต่การปราชัยต่อ อิตาลี 0-2 ในรอบ 16 ทีมของศึกยูโร 2016 เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2016
หลังการตกรอบน็อคเอาท์ของศึกยูโร 2016 จากการพ่ายพ่ายต่อทีมอัซซูรี่ ทัพกระทิงทำสถิติไม่แพ้เกมอย่างเป็นทางการ 27 นัดติดต่อกัน ตั้งแต่ยุค จูเลน โลเปเตกี ซึ่งคุมทีมลงสนาม 20 นัด ต่อด้วย เฟร์นานโด เอียร์โร่ เทรนเนอร์ขัดตาทัพคุมทีมลงเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่รัสเซีย 4 นัด ก่อนมาถึงมือ หลุยส์ เอ็นรีเก้ ในช่วงการทำงาน 3 เกมแรก
สเปน หวนกลับมาลงเล่นบนสังเวียน'เบนีโต้ บียามาริน'ของ เรอัล เบติส ครั้งแรกในรอบ 23 ปี นับตั้งแต่เกมชนะ เยอรมัน 1-0 จากการทำประตูของ เฟร์นานโด เอียร์โร่ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 1995 ระหว่างนั้น ทัพกระทิงยกพลมาเล่นในสนามเมืองเซบีย่า 7 ครั้ง แต่เป็นการเล่นบนสังเวียน'ลา การ์ตูฆา'4 ครั้งและอีก 3 ครั้งบนสังเวียน'ราม่อน ซานเชซ ปิซฆวน'
'เบนีโต้ บียามาริน'เคยเป็นสังเวียนรองรับทีมชาติสเปน 14 ครั้งก่อนหน้านี้ ทีมกระทิงทำสถิติชนะ 13 แพ้ 1 ซึ่งการปราชัยครั้งแรกและครั้งเดียวในสนามแห่งนี้เกิดขึ้นในเกมพ่าย ฝรั่งเศส 1-2 เมื่อปี 1991 สเปน ยิงรวมกัน 44 ประตูและเสีย 6 ประตู ก่อน อังกฤษ จะบุกมาจารึกชื่อว่าเป็นชาติที่สองที่บุกมาคว้าชัยชนะบนสังเวียนนี้
จากชัยชนะเหนือ สเปน 3-2 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมายังเป็นการบุกมาโค่นทีมกระทิงถึงถิ่นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1987 หลัง อังกฤษ ยุค เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน บุกมากระทุ้งทีมกระทิง 4-2 นับจากนั้น ทีมสิงโตคำรามมาเยือน สเปน อีก 4 ครั้ง พ่ายรวดโดยยิงไม่ได้แม้แต่ประตูเดียว
อังกฤษ ของท่านเซอร์บ็อบบี้บุกมาอัดทีมกระทิงหมอบคาบ้านจากการเหมายิงคนเดียว 4 ประตูของ แกรี่ ลินิเกอร์ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1987
ลินิเกอร์ ซึ่งค้าแข้งกับ บาร์เซโลน่า ขณะนั้นเพิ่งทำแฮตทริคในแมตช์'เอล กลาซิโก้'นำทีมอาซูลกราน่าอัดทีมชุดขาว 3-2 เมื่อวันที่ 31 มกราคมยังฟอร์มร้อนแรงต่อเนื่องหลังมิสเตอร์'ไนซ์ กาย'กดคนเดียวอีก 4 ดอกนำทีมสิงโตคำรามบุกมาสยบทัพกระทิงถึงสังเวียน'ซานติอาโก้ เบร์นาเบว'ของนครมาดริด
อังกฤษชุดนั้นมีผู้เล่นจาก อาร์เซน่อล เป็นแกนหลักในแนวรับทั้ง วิฟ แอนเดอร์สัน, เคนนี่ แซมซั่น และ โทนี่ อดัมส์ เมื่อครั้งยังเป็นดาวรุ่งวัยเพียง 20 ปี โดยมี เทอร์รี่ บุตเชอร์ เป็นหัวใจหลักเช่นเดิม แผงมิดฟิลด์มี ไบรอัน ร็อบสัน นำทัพส่วนที่เหลือมาจาก สเปอร์ส ทั้ง เกล็นน์ ฮ็อดเดิ้ล, คริส วัดเดิ้ล และ สตีฟ ฮ็อดจ์ ส่วน ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์ จาก นิวคาสเซิ่ล เบียดทั้ง มาร์ค เฮทลี่ย์ กับ ไคลฟ์ อัลเลน ลงเล่นเป็นกองหน้าคู่ ลินิเกอร์
สเปน ขึ้นนำก่อนตั้งแต่นาที 14 จาก เอมิลิโอ บูตราเกนโญ่ แต่ ลินิเกอร์ ตีเสมอให้อังกฤษอีก 10 นาทีต่อมา ก่อนจะทำแฮตทริคให้ทีมสิงโตคำรามนำห่างในช่วงครึ่งแรก 3-1 และสกอร์ขยับเป็น 4-1 หลัง ลินิเกอร์ ทำประตูที่ 4 ช่วงนาที 56 ก่อน ราม่อน ซานเชซ จะทำประตูตีตื้นช่วงนาที 77 ก่อน สเปน จะพ่ายคารัง 2-4
นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ อังกฤษ บุกมาชนะ สเปน ถึงถิ่นก่อนที่ทีมสิงโตคำรามยุค แกเร็ธ เซาธ์เกต จะเจริญรอยตามผลงานเมื่อ 31 ปีก่อนหน้านี้ โดยเปลี่ยนหน้าฮีโร่จาก ลินิเกอร์ มาเป็น ราฮีม สเตอร์ลิง เท่านั้น
สเตอร์ลิง เหมายิงคนเดียว 2 ประตูบวกอีกหนึ่งจาก มาร์คัส แรชฟอร์ด ซึ่ง อังกฤษ เล่นได้ดีในช่วง 45 นาทีแรกไม่ต่างจากรุ่นพี่ๆที่เคยจารึกประวัติศาสตร์เมื่อปี 1987
'มันยากที่จะอธิบายถึงสิ่งที่้เกิดขึ้นใน 90 นาที เราพลาดโอกาสที่จะคว้าชัยชนะจากเกมนี้ แต่ต้องยอมรับว่า อังกฤษ เล่นได้ดีมากในช่วงครึ่งแรก'หลุยส์ เอ็นรีเก้ ยอมรับ
ไม่ต่างจากกัปตันทีมชาติสเปน เซร์คิโอ รามอส ที่ก้มหน้ายอมรับสภาพที่ทีมกระทิงต้องจ่ายค่าตอบแทนแสนแพงในช่วงครึ่งแรกที่ถูกอาคันตุกะบุกมากระทุ้งถึง 3 ประตูจากจังหวะสวนกลับ
'เราต้องจ่ายค่าตอบแทนจากผลงานในช่วงครึ่งแรกและเราตอบโต้ได้ดีในช่วงครึ่งหลัง'
'แต่มันน่าละอายเพราะเป้าหมายของเราคือการทำผลงานให้ดี มันอยู่นอกเหนือแผน แต่ตอนนี้เรายังมีอีกเกมที่ต้องเน้นเป็นพิเศษ'รามอส กล่าวถึงเกมเยือน โครเอเชีย ในวันพฤหัสฯที่ 15 พฤศจิกายนนี้ซึ่งทีมกระทิงต้องเอาชนะทีมโครแอตสถานเดียวเพื่อคว้าแชมป์กลุ่ม
'อังกฤษ เป็นคู่ปรับระดับ เวิลด์ คลาส เต็มไปด้วยนักเตะอันตราย เราทำผลงานย่ำแย่ในช่วงครึ่งแรกและปล่อยให้พวกเขานำห่างถึง 3 ประตู'
'สิ่งที่ดีคือการตอบโต้ของทีมในช่วงครึ่งหลัง ผมคิดว่าเซบีย่าเป็นเมืองที่ยอดเยี่ยม แฟนบอลส่งเสียงเชียร์ตลอดเวลา แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถตอบแทนพวกเขาได้ดีกว่านี้'
นับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติของ'อ็อปต้า'ระบุว่า สเปน ทำผลงานเลวร้ายสุดในประวัติศาตร์โดยเฉพาะการตกเป็นฝ่ายตามหลังคู่แข่งถึง 3 ประตูในช่วงครึ่งเวลาแรก ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้
ทัพกระทิงของ หลุยส์ เอ็นรีเก้ เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดในช่วง 45 นาทีแรก ขณะที่ อังกฤษ ฉวยโอกาสได้อย่างยอดเยี่ยมจนบุกมานำคู่แข่งถึง 3 ประตู
มันกลายโจทย์สำคัญที่เทรนเนอร์ชาวอัสตูเรียโน่ต้องนำไปแก้ไข โดยเฉพาะตำแหน่งฟูลแบ็กทั้งสองฝั่งที่เติมเกมขึ้นสูงจนเปิดพื้นที่ว่างให้คู่แข่งทั้ง ราฮีม สเตอร์ลิง กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ใช้สปีดความเร็วพังทลายแนวป้องกันของทีมกระทิง ซึ่งแน่นอนว่าทีมอื่นคงจะใช้แนวทางเดียวกับทีมสิงโตคำรามในการโจมตีจุดอ่อนของ สเปน
อย่างไรก็ตามคงไม่สามารถโยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้ โจนาธาน กาสโตร จอนนี่ กับ มาร์กอส อลอนโซ่ เนื่องจากผู้เล่นตำแหน่งอื่นๆก็ต้องมีส่วนด้วยเช่นกัน แต่การปล่อยให้แนวรุกทีมสิงโตคำรามหลุดเข้าไปเล่นงานถึง 8 ครั้งในช่วงครึ่งแรกจนเสียถึง 3 ประตูเป็นจุดบกพร่องที่ต้องได้รับการแก้ไข ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินการณ์
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT