'เอล กลาซิโก้'แบบฉบับชาวโลก
ลิโอเนล เมสซี่ กระดูกแขนขวาร้าวจากเกมชนะ เซบีย่า 4-2 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาจนต้องพักราว 3 สัปดาห์ นั่นหมายความว่าแมตช์'เอล กลาซิโก้'วันอาทิตย์นี้จะเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปีที่ไม่มีทั้งซุปตาร์อาร์เจนไตน์ หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
มันจะเป็นเกม'เอล กลาซิโก้'แบบฉบับของชาวโลกครั้งแรกนับจากปี 2007 หลัง'เอเลียน'บาดเจ็บแบบคาดไม่ถึง ขณะที่มนุษย์ต่างดาวย้ายไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เมืองตูรินตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา
นับเป็นข่าวร้ายสำหรับคอลูกหนังไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนบอลของบาร์ซ่าหรือมาดริดหรือไม่ก็ตาม แม้แมตช์'เอล กลาซิโก้'จะมีความพิเศษอยู่ในตัวมันเอง แต่อรรถรสของเกมคงเจือจางลงไปบ้างไม่มากก็น้อยเมื่อปราศจากเครื่องปรุงแต่งอย่าง เมสซี่ หรือ โรนัลโด้
ในส่วนของสาวกบาร์เซโลนิสต้าคงรู้สึกเสียดายไม่น้อยเนื่องจากทีมยักษ์ใหญ่แห่งแคว้นกาตาลุนย่ามีโอกาสทำให้ทีมคู่ปรับตลอดกาลอย่างมาดริดตกอยู่ในอาการโคม่าหนักกว่าเดิมหากมีเมสซี่ลงร่ายเวทมนต์ในสนาม
ขณะที่สาวกมาดริดิสต้าคงรู้สึกดีขึ้นบ้างเล็กน้อยเมื่อคู่แข่งไร้'เอเลียน'อย่างซุปตาร์ชาวอาร์เจนไตน์ ซึ่งคงทำให้ทีมชุดขาวสามารถรับมือง่ายขึ้นกว่าปกติ
นับตั้งแต่ ลิโอเนล เมสซี่ ก้าวขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ของ บาร์เซโลน่า เมื่อปี 2004
ตลอด 14 ปีที่ผ่านมา เมสซี่ ลงเล่นเกม'เอล กลาซิโก้'รวมกัน 38 นัด ทำสถิติชนะ 17 เสมอ 9 แพ้ 12 กระทุ้งรวมกันถึง 26 ประตู โดยเป็นการกด'แฮตทริค'ใส่ทีมชุดขาว 2 ครั้ง ในปี 2007 กับ 2014
เมสซี่ เคยพลาดการลงเล่นแมตช์'เอล กลาซิโก้' 2 ครั้ง ในปี 2006 กับ 2007 เนื่องจากการบาดเจ็บ ก่อนทำสถิติลงเล่น 35 นัดติดต่อกันและกำลังจะพลาดเกม'เอล กลาซิโก้'เป็นครั้งที่ 3 ในวันอาทิตย์นี้
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2007 ครั้งล่าสุดที่ซุปตาร์ชาวอาร์เจนไตน์ชวดลงเล่นเกม'เอล กลาซิโก้'บนสังเวียน'ซานติอาโก้ เบร์นาเบว'
แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด เลือก อันเดรส อีเนียสต้า ลงเล่นแนวรุกร่วมกับ โรนัลดินโญ่ และ ซามูแอล เอโต้ โดยมี เดโก้, ชาบี เอร์นานเดซ และ ยาย่า ตูเร่ เป็นพลังขับเคลื่อนแดนกลาง ส่วน การ์เลส ปูโยล, กาเบรียล มิลิโต้, ราฟาเอล มาร์เกซ กับ เอริก อบิดาล ลงคุมแนวรับ โดยมี บิคตอร์ บาลเดส ลงเฝ้าเสา
แม้จะไม่มี เมสซี่ แต่ทัพอาซูลกราน่าของไรจ์การ์ดยังมีขุมกำลังแข็งแกร่งในการมาเยือนถิ่นทีมชุดขาว
ฝั่ง เรอัล มาดริด มีการปรับทัพเพื่อรับมือทีมเยือนจากแคว้นกาตาลุนย่าเช่นเดียวกัน หลัง แบร์นด์ ชูสเตอร์ เทรนเนอร์ชาวเยอรมันเลือกส่ง ชูลีโอ บาปติสต้า ลงเล่นตัวจริงแทน โฆเซ่ มาเรีย กูเตียร์เรซ กูตี ซึ่งมันเป็นการตัดสินใจที่สร้างความสงสัยให้ใครหลายคน แต่ท้ายที่สุดชูสเตอร์พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคิดถูกหลัง บาปติสต้า ทำประตูชัยให้มาดริดดับบาร์ซ่าสำเร็จ
ทีมชุดขาวออกสตาร์ทด้วย อีเกร์ กาซียาส เป็นผู้รักษาประตู ขณะที่ เซร์คิโอ รามอส ยังเล่นเป็นแบ็กขวาในขณะนั้น โดยมี เปเป้ ลงเล่นเซนเตอร์คู่ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ส่วน กาเบรียล ไอน์เซ่ ลงเล่นแบ็กซ้าย แดนกลางมี เวสลี่ย์ สไนเดอร์, ลาสซาน่า ดิยาร์ร่า กับ บาปติสต้า สามประสานแนวรุกเป็น ราอูล กอนซาเลซ, รุด ฟาน นิสเตลรอย กับ โรบินโญ่
ประตูเดียวของเกมเกิดขึ้นหลัง ฟาน นิสเตลรอย ดักโหม่งการเปิดบอลของ ชาบี ให้ บาปติสเตา ทำชิ่ง 1-2 กับ ราอูล ก่อนดาวเตะชาวบราซิเลียนจะหลุดเข้าไปสับไกด้วยขวาในเขตโทษช่วงนาที 35
แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด ถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการตัดสินใจแก้เกมไม่น้อย ทั้งการเลือกถอดเพลย์เมกเกอร์อย่าง เดโก้ ออกจากสนามหลังเกมผ่านพ้นมาหนึ่งชั่วโมง ขณะที่ เธียร์รี่ อองรี ถูกสั่งให้ลงวอล์มในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกม แต่เทรนเนอร์ชาวดัตช์เปลี่ยน โบยาน เกร์กิช ดาวรุ่งวัย 17 ปีลงสนามเป็นคนสุดท้ายจนกองหน้าชาวฝรั่งเศสต้องกลับมานั่งข้างสนามตามเดิม
ชัยชนะเหนือคู่แข่งครั้งนั้นทำให้ เรอัล มาดริด ขยับหนี บาร์เซโลน่า เพิ่มเป็น 7 แต้ม ก่อน ชูสเตอร์ จะนำทีมชุดขาวคว้าแชมป์ลีกาในเวลาต่อมาโดยทิ้งห่างทีมอาซูลกราน่าซึ่งอยู่อันดับ 3 ถึง 18 คะแนนจนนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในถิ่น'คัมป์ นู'ช่วงซัมเมอร์เมื่อสโมสรโปรโมต'เป๊ป'กวาร์ดิโอล่า ขึ้นมาคุมทีมชุดใหญ่แทนไรจ์การ์ด
'เราน่าจะเผด็จศึกพวกเขาเร็วกว่านี้'ชูสเตอร์คุยโวหลังเกม 'ผมจะไม่พูดว่ามันเป็นเกมง่าย แต่แน่นอนว่ามันก็ง่ายกว่าที่ผมคาดคิด'
เวลาผ่านมา 11 ปี บาร์เซโลน่า จะลงเล่นแมตช์'เอล กลาซิโก้'โดยไม่มี เมสซี่ อีกครั้ง ทว่าสถานการณ์แตกต่างไปจากเดิม ครั้งนี้ทีมอาซูลกราน่าเป็นฝ่ายนำมาดริด 4 แต้ม ขณะที่ เรอัล มาดริด กำลังตกระกำลำบากจากการทำผลงานย่ำแย่ในช่วงหลังจน จูเลน โลเปเตกี ใกล้ชะตาขาดและคงมีชะตากรรมไม่ต่างจากไรจ์การ์ดเพียงแต่มาดริดอาจจะเคลม'จูเลน'เร็วกว่าบาร์ซ่าปลดเทรนเนอร์ชาวดัตช์เท่านั้น
มันเป็นแมตช์'เอล กลาซิโก้'ครั้งแรกในฐานะเทรนเนอร์ของ โลเปเตกี และมันอาจเป็นครั้งสุดท้ายของเทรนเนอร์ชาวบาสโก้ในเวลาเดียวกัน
ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานทีมชุดขาวตั้งใจจะปลด จูเลน ตั้งแต่เกมพ่ายคาบ้านต่อ เลบันเต้ 1-2 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่ถูกทัดทานจากกัปตันทีม เซร์คิโอ รามอส ที่ยังหนุนหลังเทรนเนอร์ชาวบาสโก้สุดลิ่ม ก่อน โลเปเตกี จะต่อลมหายใจการคุมทีมมาจนถึงแมตช์'เอล กลาซิโก้'หลังการเอาชนะ วิคตอเรีย พิลเซ่น บนเวทีแชมเปี้ยนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่มเมื่อวันอังคารด้วยสกอร์จุ๋มจื๋ม 2-1
ถ้า เรอัล มาดริด พ่ายแพ้ในศึก'เอล กลาซิโก้'วันอาทิตย์นี้ แน่นอนว่า'จูเลน'คงไม่ได้ไปต่อ หากผลลงเอยด้วยการแบ่งแต้ม อาการของเทรนเนอร์ชาวบาสโก้ยังคงอยู่ในขั้นวิกฤติมีโอกาสถูกปลดได้ทุกเมื่อที่ทีมชุดขาวตกเป็นฝ่ายปราชัยหลังจากนั้น
แต่ถ้า จูเลน โลเปเตกี นำทีมชุดขาวบุกมากำชัยชนะถึง'คัมป์ นู'ถือเป็นความดีความชอบครั้งใหญ่ แม้มันไม่สามารถลบล้างความผิดพลาดที่ผ่านมาได้ทั้งหมดก็ตาม แต่อดีตเทรนเนอร์ทีมชาติสเปนยังมีโอกาสทำงานในฐานะเทรนเนอร์ของทีมชุดขาวต่อไปเพียงแต่ไม่มีการการันตีว่าจะยาวนานแค่ไหนเท่านั้น
การที่ทีมอาซูลกราน่าไม่มี ลิโอเนล เมสซี่ คงทำให้'จูเลน'รู้สึกโล่งใจขึ้นในระดับหนึ่งเพราะจากสถิติที่ผ่านมา บาร์เซโลน่า ที่นำทัพโดยซุปตาร์ชาวอาร์เจนไตน์จะกำชัยจากแมตช์'เอล กลาซิโก้'ถึง 13 จาก 17 ครั้งหลังสุดบนเวทีลีกา
เทียบกับสถิติที่ เรอัล มาดริด มี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ลงเล่นแมตช์'เอล กลาซิโก้'ยังไม่มีผลกระทบมากเท่า เมสซี่ จากการลงเล่นเกม'เอล กลาซิโก้'30 นัดนับตั้งแต่ปี 2009 ของ ซุปตาร์ชาวโปรตุกีส ทีมชุดขาวชนะ 8 เสมอ 8 แพ้ 14 ครั้ง คิดเป็นเปอร์เซ็นต์เพียง 26.7% ขณะที่ เมสซี่ ช่วยให้บาร์ซ่าสยบมาดริดถึง 44.7%
การคว้าชัยชนะจากแมตช์'เอล กลาซิโก้'ของ บาร์เซโลน่า มาจากการทำประตูของ เมสซี่ หลังกด 26 ประตูจาก 38 เกม หลายต่อหลายครั้งมันเป็นประตูตัดสินเกมเหมือนการกระทุ้งในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนำทีมอาซูลกราน่าบุกสยบมาดริดถึงสังเวียน'ซานติอาโก้ เบร์นาเบว'ด้วยสกอร์ 3-2 ช่วงฤดูกาล 2016-17 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2017
ขณะที่ โรนัลโด้ ยิง 18 ประตูจากการลงเล่นแมตช์'เอล กลาซิโก้' 30 เกม มีค่าเฉลี่ยยิงนัดละ 0.60 ประตูด้อยกว่าผลงานของเมสซี่ที่ยิงเฉลี่ย 0.68 ประตูต่อนัด
นอกเหนือจากการทำประตูด้วยตัวเอง เมสซี่ ยังมีส่วนร่วมกับการทำประตูของเพื่อนร่วมทีมชัดเจนด้วย จากการลงเล่น 38 เกมใน'เอล กลาซิโก้' ซุปตาร์ชาวอาร์เจนไตน์ทำสถิติแอสซิสต์ถึง 14 ครั้งและสร้างสรรโอกาสมากถึง 68 ครั้ง ต่างจาก โรนัลโด้ ที่ทำเพียงแอสซิสต์เดียวและสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมสังกัดแค่ 15 ครั้ง
จากสถิติข้างต้นจึงมองเห็นภาพชัดเจนว่า บาร์เซโลน่า ที่ขาด เมสซี่ จะได้รับผลกระทบมากกว่า เรอัล มาดริด ที่ไม่มี โรนัลโด้
ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใดหาก เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ เทรนเนอร์ทีมอาซูลกราน่าจะรู้สึกคิดถึงซุปตาร์ชาวอาร์เจนไตน์ แต่เทรนเนอร์ชาวบาสโก้ก็ต้องหาวิธีการรับมือเมื่อปราศจากความช่วยเหลือจากเมสซี่ให้ได้เท่านั้น
'เราจำเป็นต้องหาวิธีรับมือยามที่ไม่มีเขา แน่นอนว่าเราต้องคิดถึงเขา แต่เราก็หวังว่าเราจะสามารถเก็บชัยชนะได้ยามที่ไม่มีเขา'บัลเบร์เด้ กล่าวก่อนหน้าแมตช์'เอล กลาซิโก้'
บัลเบร์เด้ หาทางรับมือได้ดีในระดับหนึ่งหลังนำทีมยักษ์กาตาลันล้ม อินเตอร์ มิลาน 2-0 บนเวทีแชมเปี้ยนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่มเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยมี ราฟาเอล อัลกันตาร่า หรือ ราฟินญ่า เป็นตัวละครลับที่เทรนเนอร์ชาวบาสโก้จัดต้อนรับทีมงูใหญ่
อินเตอร์ มิลาน มาเยือน'คัมป์ นู'ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมหลังการคว้าชัยชนะจากการลงเล่นทุกรายการ 7 เกมติดต่อกันก่อนบุกมาเยือนสังเวียน'คัมป์ นู'
ทัพมะโรงของ ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ น่าจะพบงานง่ายขึ้นเมื่อคู่ปรับปราศจากแข้งคนสำคัญอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ แต่ทัพอาซูลกราน่าใช้การเล่นกันเป็นระบบสยบทีมเยือนจากอิตาลีตามเป้าหมายเพิ่มเติมความเชื่อมั่นก่อนแมตช์'เอล กลาซิโก้'วันอาทิตย์นี้
'ผมคิดว่าผมทำหลายสิ่งหลายอย่างในการซ้อมเพื่อให้พวกเราเตรียมตัวพร้อมสำหรับเกมแบบนี้ แต่มันยังไม่ดีพอ เราไม่รู้ถึงวิธีการในการฉวยโอกาสจากผลงานของเราในช่วงที่ผ่านมา ปัญหาของที่นั่น (คัมป์ นู) คือเมื่อคุณเสียบอล สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ บาร์เซโลน่า จะแย่งบอลไปครองและจัดการคุณ'สปัลเล็ตติยอมรับ
บัลเบร์เด้ ตัดสินใจแบบเซอร์ไพรส์สื่อเมืองกระทิงทุกสำนักด้วยการเลือก ราฟินญ่า ลงเล่นตัวจริงก่อน อุสมาน เดมเบเล่, อาร์ตูโร่ วีดาล หรือ มัลคอม ซิลวา ซึ่งต่างอยู่ในข่ายที่พร้อมลงเสียบแทนตำแหน่งเมสซี่ ซึ่งมิดฟิลด์ชาวบราซิเลียนไม่ทำให้ผิดหวังโดยเฉพาะการสอดขึ้นมายิงประตูจากการเปิดบอลแม่นยำราวจับวางของ หลุยส์ ซัวเรซ ช่วยให้ทีมขึ้นนำช่วงนาที 32 ก่อน บาร์ซ่า จะได้ประตูตอกย้ำชัยชนะก่อนหมดเวลา 7 นาทีจาก จอร์ดี้ อัลบา
ราฟินญ่า ได้ออกสตาร์ทตัวจริงก่อนหน้านี้เพียง 2 ครั้ง ในเกมชนะ เซบีย่า 2-1 ในศึก'ซูเปร์โกปา เด เอสปันญ่า'และนัดบุกเชือด เรอัล โซเซียดาด ถึงสังเวียนอาโนเอต้าด้วยสกอร์เดียวกัน มิดฟิลด์วัย 25 ปียังได้ลงเล่นในฐานะตัวสำรองอีกสองครั้ง ก่อนได้สตาร์ทเป็นเกมที่ 3 ของซีซั่นนี้เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ราฟินญ่า เป็นนักเตะเอนกประสงค์เล่นได้ดีทั้งรุกและรับ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนักเตะเคยมีประสบการณ์ค้าแข้งกับ อินเตอร์ มิลาน ด้วยสัญญายืมตัวในช่วงฤดูกาลที่ผ่านมาจึงน่าจะรู้จักแนวทางการเล่นของทีมงูใหญ่ของสปัลเล็ตติเป็นอย่างดี
จากผลงานของ ราฟินญ่า ช่วงค่ำคืนที่ผ่านมาจึงน่าสนใจว่า บัลเบร์เด้ จะมอบโอกาสให้มิดฟิลด์ชาวบราซิเลียนออกสตาร์ทต่อเนื่องไปจนถึงแมตช์'เอล กลาซิโก้'วันอาทิตย์นี้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม บัลเบร์เด้ ยืนยันว่าจะไม่ประมาททีมคู่ปรับสำคัญอย่าง เรอัล มาดริด แน่นอนถึงแม้ว่าทีมชุดขาวกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากก็ตาม
'มาดริด ยังอันตรายได้มากกว่านี้ พวกเขาจะออกมาเผชิญหน้ากับเรา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากแต่ก็มาพร้อมกับพลังอย่างเต็มเปี่ยม เพราะพวกเขาเต็มไปด้วยนักเตะชั้นยอด'บัลเบร์เด้ กล่าวถึงแมตช์'เอล กลาซิโก้'
แมตช์'เอล กลาซิโก้'บนเวทีลีกา 176 ครั้งก่อนหน้านี้ เรอัล มาดริด เป็นฝ่ายชนะ 72 ครั้ง บาร์เซโลน่า ชนะ 70 ครั้ง เสมอ 34 ครั้ง ทีมชุดขาวกระทุ้ง 286 ประตู บาร์ซ่าซัด 282 ประตู
นับเฉพาะผลงานที่'คัมป์ นู' บาร์เซโลน่า ชนะ 49 ครั้ง เสมอ 19 ครั้ง เรอัล มาดริด ชนะ 21 ครั้ง
ชัยชนะของทีมอาซูลกราน่าเหนือทีมชุดขาวแบบขาดลอยครั้งล่าสุดที่'คัมป์ นู'เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2010 หลังทีมของ'เป๊ป'กวาร์ดิโอล่า ถลุงเด็กๆของ โชเซ่ มูรินโญ่ 5-0
ส่วนการมาเยือน'คัมป์ นู'ครั้งล่าสุดของ เรอัล มาดริด เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา เกมลงเอยด้วยการเสมอ 2-2
หลุยส์ ซัวเรซ ทำประตูนำ 1-0 ตั้งแต่นาทีที่ 10 ก่อน โรนัลโด้ ตีเสมอ 1-1 อีก 14 นาทีต่อมา ทว่าสถานการณ์ของทีมอาซูลกราน่าตกเป็นรองหลัง เซร์จี้ โรเบร์โต้ ถูกไล่ออกจากสนามก่อนหมดครึ่งแรก
ทีมอาซูลกราน่าขึ้นนำอีกครั้งจาก ลิโอเนล เมสซี่ นาที 52 ก่อน แกเร็ธ เบล ตามตีเสมอให้ทีมชุดขาวนาที 72 แต่สองคนที่ทำประตูในเกมล่าสุดไม่มีส่วนร่วมกับแมตช์'เอล กลาซิโก้'วันอาทิตย์นี้
เรอัล มาดริด จะพลาดไม่ได้เพื่อเซฟ'จูเลน'แต่ บาร์เซโลน่า พร้อมขย้ำทีมคู่ปรับทุกโอกาสที่มีเพียงแต่งานของทีมอาซูลกราน่าอาจจะยุ่งยากมากขึ้นเมื่อปราศจาก เมสซี่ ซึ่งบัลเบร์เด้ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าบาร์ซ่าสามารถเดินต่อไปได้แม้ไร้ซุปตาร์ชาวอาร์เจนไตน์
ถ้าภารกิจของบัลเบร์เด้ประสบความสำเร็จเหมือนเกมชนะอินเตอร์เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา นั่นก็หมายความว่าแมตช์'เอล กลาซิโก้'วันอาทิตย์นี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของคนชื่อโลเปเตกีด้วยเช่นกัน
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT