ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้...
จากที่เคยแหงนหน้ามองจ่าฝูงจากอันดับ 9 หลังการปราชัยในแมตช์'เอล กลาซิโก้'ยกแรกของซีซั่นแบบยับเยินที่'คัมป์ นู'1-5 เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา
สาวกมาดริดิสต้ากลับมามีความหวังเรืองรองอีกครั้งหลังการคว้าชัยชนะเหนือทีมคู่ปรับร่วมเมือง แอตเลติโก มาดริด 3-1 ขณะเดียวกัน แอธเลติก บิลเบา แบ่งแต้มกับทีมอาซูลกราน่าสำเร็จทำให้ทัพ'โลส บลังโกส'ขยับขึ้นมาเป็นรองจ่าฝูงไล่หลังทีมยักษ์ใหญ่แคว้นกาตาลุนย่าเพียง 6 แต้ม
ทุกอย่างยังเป็นไปได้สำหรับทีมชุดขาวในการพลิกสถานการณ์กลับมาเนื่องจากยังมีโปรแกรมลงสนามอีกถึง 15 เกม
เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า ยังอยู่บนเส้นทางลุ้นแชมป์ทั้ง 3 รายการในซีซั่นนี้ แต่ทีมใดทีมหนึ่งจะเหลือเพียง 2 หลังวันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ เมื่อทัพ'โลส บลังโกส'จะเปิดสังเวียน'ซานติอาโก้ เบร์นาเบว'รับมือทัพอาซูลกราน่าบนเวที โกปา เดล เรย์ รอบตัดเชือกนัดสองหลังเกมแรกที่'คัมป์ นู'ลงเอยด้วยการเสมอ 1-1
ทีมชุดขาวยังมีคิวลงทำศึก ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมกับ อาแจ็กซ์ อัมส์เตอร์ดัม โดยมีโปรแกรมเยือนสังเวียน'โยฮัน ครัฟฟ์ อารีน่า'ในการเล่นเกมแรกคืนวันพุธนี้
เรอัล มาดริด เป็นเจ้าของแชมป์รายการนี้มากสุดหลังฟาดมา 13 สมัยและยังสร้างประวัติศาสตร์เป็นสโมสรแรกที่คว้าโทรฟี่หูใหญ่ตลอด 3 ปีหลังสุดในยุค ซีเนดีน ซีดาน ซึ่งมันอาจไม่เกิดขึ้นหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในถิ่นเบร์นาเบว
ทีมชุดขาวทำผลงานในช่วงต้นซีซั่นย่ำแย่ หลัง จูเลน โลเปเตกี นำทีมเก็บได้เพียงแต้มเดียวจากการลงเล่นลีกา 5 นัด ก่อนสโมสรจะหมดความอดทนจนสั่งปลดเทรนเนอร์ชาวบาสโก้ออกจากตำแหน่งหลังการพ่ายแพ้ยับเยินที่'คัมป์ นู'เพียงหนึ่งวันพร้อมการก้าวขึ้นมาจากทีมเยาวชนของ ซานติอาโก้ โซลารี่
ย่างก้าวของเทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์คล้ายคลึงกับ ซีดาน ที่ถูกโปรโมตขึ้นมาจากเทรนเนอร์ของ เรอัล มาดริด กาสตีย่า ขึ้นมาเป็นนายใหญ่แทน ราฟาเอล เบนีเตซ ในช่วงเดือนมกราคมปี 2016 เพียงแต่ โซลารี่ จะสามารถย่ำตามรอยของเทรนเนอร์ชาวฝรั่งเศสได้หรือไม่เท่านั้น
โลเปเตกี มีโอกาสคุมทีมชุดขาวลงสนามเพียง 14 เกม สถิติชนะ 6 เสมอ 2 แพ้ 6 ก่อนที่ โซลารี่ จะเข้ามาช่วยพลิกโฉมหน้าทัพ'โลส บลังโกส'กลับมาเป็นทีมที่น่าเกรงขามอีกครั้งจากการคุมทีมลงเล่น 25 เกม ชนะ 19 เสมอ 2 แพ้ 4
เรอัล มาดริด ยุคเทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์ยังคว้าชัยชนะบนเวทีลีกา 5 เกมติดต่อกันครั้งแรกในซีซั่นนี้ หลังกำชัยเหนือ เรอัล เบติส, เซบีย่า, เอสปันญ่อล, อลาเบส และ แอตเลติโก มาดริด จากการลงสนาม 5 นัดล่าสุด ก่อนสปีดแซงทีมตราหมีขึ้นมาหายใจรดต้นคอจ่าฝูงเวลานี้
โลเปเตกี นำทีมชุดขาวชนะไม่ถึง 48 เปอร์เซนต์ ขณะที่ โซลารี่ นำทัพ'โลส บลังโกส'กำชัย 76 เปอร์เซนต์ มาจากความแตกต่างในการเลือกทีมลงสนามเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อีสโก้ อาลาร์กอน ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญในยุคเทรนเนอร์ชาวบาสโก้กลายเป็นส่วนเกินของทีมชุดปัจจุบันเนื่องจาก โซลารี่ เปิดโอกาสให้ดาวรุ่งอย่าง วินิซิอุส จูเนียร์ พิสูจน์ตัวด้วยผลงานในสนาม ซึ่งแข้งชาวบราซิเลียนตอบแทนความไว้วางใจจากเทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมจนเบียดแข้งค่าตัวแพงอย่าง แกเร็ธ เบล หลุดเป็นสำรอง
วินิซิอุส ได้ออกสตาร์ทตลอด 11 เกมที่ผ่านมาและยังทำผลงานยอดเยี่ยมทำ 4 ประตูกับ 7 แอสซิสต์ กลายเป็นผู้เล่นดาวรุ่งที่มีอนาคตสดใสกับทัพชุดขาวสวนทางกับ อีสโก้ ที่ส่อแววหมดอนาคตกับทีม
ขณะที่ คาริม เบนเซม่า กลับมาสร้างผลงานน่าประทับใจอีกครั้งหลังกองหน้าชาวฝรั่งเศสทำ 6 ประตูกับ 1 แอสซิสต์จากการลงเล่น 6 เกมหลังสุด
ส่วน เซร์คิโอ รามอส กับ ราฟาแอล วาราน ต่างช่วยกันทำให้แนวรับทีมชุดขาวกลายเป็นปราการที่แข็งแกร่งอีกครั้ง
เรอัล มาดริด อาจก่อความผิดพลาดในการเล่นเกมรับอยู่บ้างโดยเสีย 24 ประตูจาก 25 เกมที่ผ่านมา แต่สิ่งที่แปรเปลี่ยนไปคือ โซลารี่ ทำให้ทีมกลับมาเล่นเกมรุกอย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง หลังทีมชุดขาวกระทุ้งคู่แข่งรวมกัน 61 ประตูจากการลงเล่น 25 นัดและยิง 20 ประตูจาก 7 เกมหลังสุด
ขณะที่ทีมยุค โลเปเตกี ทำสถิติยิงประตูไม่ได้นานติดต่อกันถึง 465 นาทีกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในรอบ 116 ปีของสโมสร ทำลายสถิติเดิมที่ยิงไม่ได้ 464 นาทีที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1985
นั่นคือผลงานที่จับต้องได้ของ โซลารี่ จนมีส่วนช่วยทัพ'โลส บลังโกส'กลับมาลุ้นแชมป์ 3 รายการในซีซั่นนี้
ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์จะให้สัมภาษณ์ด้วยความมั่นใจว่า'ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับ เรอัล มาดริด'ก่อนหน้านำทีมชุดขาวลงเล่นกับ อาแจ็กซ์ อัมส์เตอร์ดัม บนสังเวียน'โยฮัน ครัฟฟ์ อารีน่า'คืนวันพุธนี้
โซลารี่ เป็นหนึ่งในผู้เล่นชุดคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่น 2001-02 หลังการเอาชนะ เลเวอร์คูเซ่น 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศที่กลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์
เทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์เชื่อมั่นว่า เรอัล มาดริด มีโอกาสที่จะคว้าแชมป์รายการนี้ 4 สมัยติดต่อกัน ซึ่งทุกอย่างยังเป็นไปได้สำหรับทัพ'โลส บลังโกส'ที่มีขุมกำลังไม่ด้อยไปกว่าทุกทีมบนเวทีแชมเปี้ยนส์ลีก
อาแจ็กซ์ อัมส์เตอร์ดัม เป็นคู่ปรับที่เล่นด้วยไม่ง่ายนัก แต่สถิติการพบกัน 6 ครั้งล่าสุด ปรากฎว่า เรอัล มาดริด ทุบทีมดังเมืองกังหันลมทั้ง 6 เกม
เรอัล มาดริด เคยยิงสลุตด้วยสกอร์ 4-1 ทั้งสองเกมในการดวลกันหนล่าสุดในรอบแบ่งกลุ่มแชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2012-13
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นในรอบแบ่งกลุ่มซีซั่น 2011-12 ทัพ'โลส บลังโกส'กระทุ้ง อาแจ็กซ์ อัมส์เตอร์ดัม ด้วยสกอร์ 3-0 ทั้งเกมเหย้าและนัดเยือนเช่นเดียวกัน
ส่วนการลงเล่นรอบแบ่งกลุ่มฤดูกาล 2010-11 ผลลงเอยไม่ต่างจากเดิม เรอัล มาดริด ทุบ อาแจ็กซ์ อัมส์เตอร์ดัม ทั้งสองเกมด้วยสกอร์ 2-0 กับ 4-0 ตามลำดับ
อาแจ็กซ์ อัมส์เตอร์ดัม เคยเอาชนะ เรอัล มาดริด ครั้งล่าสุดตั้งแต่การลงเล่นรอบแบ่งกลุ่มซีซั่น 1995-96 ซึ่งเป็นยุคเรืองรองของทีมดังเมืองกังหันลม หลัง มาร์ค โอเวอร์มาร์ส กดประตูชัยดับทีมชุดขาวที่อัมส์เตอร์ดัม 1-0 ก่อน ยารี่ ลิตมาเน่น กับ แพทริค ไคลเวิร์ต จะทำคนละประตูให้ต้นสังกัดบุกคว้าชัยที่เบร์นาเบว 2-0
ทีมของ เอริค เทน ฮาก ทำผลงานในซีซั่นนี้ได้ดีจนมีโอกาสลุ้นแย่งแชมป์พรีเมียร์ดัตช์กับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ของ มาร์ค ฟาน บอมเมล ก่อน อาแจ็กซ์ อัมส์เตอร์ดัม จะน็อตหลุดช่วงหลังจนพ่าย 2 จาก 3 เกมหลังสุดโดยเฉพาะเกมที่ถูกเหล่าแข้งอาสุโวของ เฟเยนูร์ด ร็อตเธอร์ดัม ยิงสลุต 6-2 ก่อนจะเสียท่าให้ทีมต่ำชั้นกว่าอย่าง เฮราเคิ่ลส์ เกมล่าสุด
อาแจ็กซ์ อัมส์เตอร์ดัม ยังสังเวย เฟรงกี้ เดอ ย็อง ซึ่งเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามหลังเกมผ่านมาหนึ่งชั่วโมง แต่คาดว่าแข้งใหม่ของทีมอาซูลกราน่าจะฟิตพร้อมสำหรับเกมสำคัญคืนวันพุธนี้
นับจากเกมเยือนสังเวียน'โยฮัน ครัฟฟ์ อารีน่า'บนเวทีแชมเปี้ยนส์ลีกรอบ 16 ทีม นัดแรก เรอัล มาดริด มีโปรแกรมสำคัญต่อจากนั้นอีก 5 เกมซึ่งเป็นบทพิสูจน์ความเชื่อของ โซลารี่ ที่คิดว่าทุกอย่างยังเป็นไปได้สำหรับทัพ'โลส บลังโกส'
เรอัล มาดริด มีคิวลงเล่นลีกาสองเกมต่อไปกับ คีโรน่า (เหย้า) และ เลบันเต้ (เยือน) ก่อนลงทำศึก'เอล กลาซิโก้'สองเกมติดบนเวที โกปา เดล เรย์ รอบตัดเชือกนัดสองในวันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ต่อด้วยเกมลีกาในวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม ซึ่งเป็นการลงเล่นในถิ่นเบร์นาเบวทั้งสองเกม ตบท้ายด้วยการเปิดบ้านรับมือ อาแจ็กซ์ อัมส์เตอร์ดัม ในวันอังคารที่ 5 มีนาคม
ถ้าหาก โซลารี่ นำทีมชุดขาวผ่านทั้ง 6 เกมนี้แบบไม่มีการบุบสลาย ทุกสายตาจะกลับมาจับจ้องการเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์ของเทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์แน่นอน
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT