ภารกิจยังไม่จบ...
ถ้ารถผ้าป่าไม่แหกโค้งเทกระจาดที่'แอนฟิลด์'ในวันอังคารหน้า สาวกบาร์เซโลนีสต้าจะเคลื่อนพลไปประกาศศักดาที่สังเวียน'ว่านต๋า เมโตรโปลีตาโน่'ของนครมาดริดวันที่ 1 มิถุนายนนี้ตามเป้าหมาย
ชัยชนะเหนือ ลิเวอร์พูล 3-0 อาจเป็นสกอร์ที่ขาดลอยเกินรูปเกมที่เด็กๆของ เจอร์เก้น คล็อปป์ สู้ได้ดีและสร้างความกดดันให้ทัพอาซูลกราน่าได้อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วงต้นครึ่งหลังจน มาร์ค อันเดร แทร์ ชเตเก้น นายทวารเยอรมันของบาร์ซ่าต้องออกแรงเซฟอย่างน้อย 3 ครั้ง
ทว่าความแตกต่างของเกมบนสังเวียน'คัมป์ นู'เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมาคือนักเตะที่ชื่อ ลิโอเนล เมสซี่
นับตั้งแต่ที่ เมสซี่ นำทัพอาซูลกราน่ายุค แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด ลงเผชิญหน้ากับ ลิเวอร์พูล ของ ราฟาเอล เบนีเตซ ในรอบ 16 ทีม นัดแรกของศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2006-07 ซึ่งทีมยักษ์กาตาลุนย่าพ่ายคารัง'คัมป์ นู'1-2 ก่อนบุกไปเอาคืนที่'แอนฟิลด์'จากการทำประตูชัยของ ไอเดอร์ กุ๊ดยอห์นเซ่น แต่มันไม่เพียงพอต่อการเข้ารอบ
เมสซี่ ซึ่งตอนนั้นอายุเพียง 19 ปีลงเล่นเป็นตัวจริงทั้งสองเกม แต่ไม่สามารถส่งบอลผ่านมือ เปเป้ เรน่า นายทวารหงส์แดงตลอด 180 นาที
ก่อนที่ซุปตาร์ชาวอาร์เจนไตน์จะพังประตู ลิเวอร์พูล ครั้งแรกในอาชีพค้าแข้งสำเร็จเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมาจากการตามซ้ำลูกยิงของ หลุยส์ ซัวเรซ ที่บอลกระแทกคานเด้งมาเข้าทางช่วงนาที 75 ก่อนจะปั่นฟรีคิกสุดสวยเสียบสามเหลี่ยมช่วงนาที 82
มันเป็นประตูที่ 600 ในอาชีพค้าแข้งของ เมสซี่ และยังเป็นวันครบรอบ 14 ปี ที่เขาทำประตูแรกกับ บาร์เซโลน่า บนสังเวียน'คัมป์ นู'ด้วย
มันยังเป็นการกระทุ้งสโมสรอังกฤษรวมกันเป็นประตูที่ 26 จากการลงเล่น 33 เกม
เมสซี่ ยิงทีมอังกฤษก่อนหน้านี้ 24 ประตูไล่จาก อาร์เซน่อล ซึ่งถูกล่อเป้ามากสุดถึง 9 ประตู, แมนฯซิตี้ 6 ประตู, แมนฯยูไนเต็ด 4 ประตู, เชลซี 3 ประตู และ สเปอร์ส 2 ประตู ก่อนมาบวกเพิ่มอีกสองประตูกับทีมหงส์แดง
แต่ภารกิจนี้ยังไม่เสร็จสิ้น เมสซี่ กับชาวคณะยังมีโปรแกรมเยือน'แอนฟิลด์'ในวันอังคารที่ 7 พฤษภาคมนี้ ซึ่งแน่นอนว่าการไปเยือนที่นั่นโดยเป็นฝ่ายชนะจากเกมแรกด้วยสกอร์ 3-0 ย่อมเป็นข้อได้เปรียบมหาศาลดีกว่าสกอร์ 3-1 หากลูกยิงระยะเผาขนของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในช่วงท้ายเกมไม่ชนเสา
แม้จะรู้สึกเสียดายกับช่วงท้ายเกมที่ อุสมาน เดมเบเล่ กองหน้าดาวรุ่งชาวฝรั่งเศสที่ลงมาเป็นสำรองมีโอกาสยิงประตูที่ 4 แต่ทั้งน้ำหนักและทิศทางของลูกยิงเดมเบเล่ไม่ได้เสียวแม้แต่น้อย แต่ เมสซี่ ยังพึงพอใจกับผลการแข่งขันที่เกิดขึ้น
'มันเป็นโอกาสสุดท้ายที่ใกล้เคียงสุด มันจะดีกว่าหากเป็น 4-0 แต่มันยังไม่จบ ความจริงก็คือผมมีความสุขกับผลการแข่งขันที่เราทำได้ในคืนนี้'เมสซี่ กล่าวหลังเกมด้วยอารมณ์แฮปปี้
กองหน้าชาวอาร์เจนไตน์ที่กระทุ้งครบ 600 ประตูกล่าวเพิ่มเติมว่า'เราหลุดเข้าไปอยู่ในจังหวะเกมของพวกเขาเล็กน้อย เป็นจังหวะเกมที่เร็วมากและแข็งแกร่ง เราไม่เคยชินกับมัน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราต้องออกแรงมากกว่าปกติ แต่คุณดึงมันกลับมาเหมือนที่เคยเป็น'
'เหนือสิ่งอื่นใดคือเราไม่เสียประตู ในครึ่งแรกเราเหนือกว่า แต่ในช่วงครึ่งหลัง พวกเขาบีบเราและไม่เปิดโอกาสให้เราด้วยการเพรสซิ่งสูง ซึ่งเรารู้วิธีเอาตัวรอด'ก่อนจะพูดถึงการยิงฟรีคิกระยะ 30 เมตรเป็นประตูปิดท้ายว่า'มันน่าตื่นเต้น ผมมองหาเป้าหมายและผมโชคดีที่ยิงเข้าไปตรงนั้นและผมมีความสุขมาก'
กัปตันทีมบาร์ซ่ายังกล่าวถึงการเยือนถิ่น'แอนฟิลด์'ในวันอังคารว่า' เรากำลังจะไปเยือนหนึ่งในสังเวียนยากและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมซึ่งมีแรงขับเคลื่อนมากมาย'
ชัยชนะเหนือทีมหงส์แดงเมื่อคืนวันพุธยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า'คัมป์ นู'ยังคงเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งของ บาร์เซโลน่า หลังทำสถิติลงเล่นบนเวทียุโรปโดยไม่แพ้ติดต่อกัน 32 เกม (ชนะ 29 เสมอ 3, ยิง 93 ประตู เสียเพียง 15 ประตู)
บาร์เซโลน่า พ่ายคารังบนเวทียุโรปครั้งสุดท้ายตั้งแต่เกมปราชัยต่อ บาเยิร์น มิวนิค ยุคปู่จุ๊ปป์ 0-3 ในการเล่นรอบรองชนะเลิศ นัดสอง เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2013 เนื่องจากบาร์ซ่าไร้ เมสซี่ ที่บาดเจ็บและการพ่ายแพ้ในเกมแรกที่มิวนิค 0-4 ทำให้ทีมไม่มีทางเลือกนอกจากเปิดโหมดบุกแหลกจนถูกเกมสวนกลับของทีมเสือใต้เล่นงานตนป้อม'คัมป์ นู'ถูกตีแตก
สกอร์ 3-0 อาจดูเหมือนจะจบ แต่มันยังมีอีก 90 นาทีที่'แอนฟิลด์'ซึ่ง ลิเวอร์พูล ยังมีโอกาสสร้างปาฏิหารย์ ขณะเดียวกัน บาร์เซโลน่า ยังเคยมีความทรงจำไม่ดีนักกับการตกรอบรายการนี้เมื่อปีก่อน
สาวกบาร์เซโลนีสต้ายังไม่ลืมเกมที่ทีมอาซูลกราน่าบุกไปพ่าย โรม่า 0-3 ก่อนกระเด็นตกรอบ 16 ทีมแบบเหนือความคาดหมายทั้งที่เป็นฝ่ายคว้าชัยในเกมแรกที่'คัมป์ นู'4-1 นั่นคือบทเรียนสอนใจของ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ กับลูกทีมว่าจะไม่ก่อความผิดพลาดอีกครั้งในการเยือน'แอนฟิลด์'วันอังคารหน้า
'ปีที่แล้ว เราตกรอบ 16 ทีมทั้งที่กุมความได้เปรียบถึง 3 ประตู ดังนั้นโอกาสมันยังเปิดกว้าง และ ลิเวอร์พูล จะทำให้เป็นงานยากสำหรับเรา พวกเขาเป็นทีมที่ดี ยังมีเวลาเหลืออีก 90 นาทีและเราทราบดีว่าอะไรรอเราอยู่ที่นั่น'บัลเบร์เด้ เปิดเผยหลังเกม
เทรนเนอร์ชาวบาสโก้ระบุว่าไม่ใช่เรื่องง่ายในการเล่นกับ ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ และบางช่วงเวลา บาร์ซ่า ยังไม่ได้เป็นฝ่ายครองเกมด้วย 'บางครั้งคุณสามารถควบคุมเกมได้และบางครั้งเกมก็ครอบงำคุณ' ก่อนจะยอมรับว่าไม่มีทางเลือกนอกจากการปรับตัวให้เข้ากับแต่ละช่วงเวลาของเกมเท่านั้น 'บางครั้งเราพยายามจะชะลอเกม แต่พวกเขาผลักดันให้เราถอยหลังและเราสนใจแต่จะเดินหน้า ไม่ยอมถอย'
'ถ้าพวกเขายิงประตูในบ้านคุณไม่ได้ก็ถือเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยม มันชัดเจนว่าพวกเขากดดันเราและเราพยายามที่จะป้องกันเพื่อไม่ให้เสียประตู ซึ่งเราสามารถทำได้อย่างที่คาดหวัง'
'มันเป็นเกมที่ใกล้เคียงกัน หลายนาทีที่พวกเขาทำได้ดีกว่าและหลายนาทีที่เราเหนือกว่า ยังมีเวลาอีก 90 นาที ซึ่งเราต้องใช้ประสบการณ์ที่มีให้เกิดประโยชน์'
'พวกเขามีโอกาสหลายครั้ง จังหวะที่จะแจ้งมากคือการยิงชนเสา (ซาลาห์) อีกหนึ่งจังหวะถูก มาร์ค (อันเดร แทร์ ชเตเก้น) ป้องกันไว้ได้ และเราก็สร้างโอกาสหลายครั้งเช่นเดียวกัน'
บัลเบร์เด้ ยังอธิบายถึงการเลือกส่ง อาร์ตูโร่ วีดาล มิดฟิลด์ทีมชาติชิลีลงเล่นตัวจริงก่อน อาร์ตูร์ เมโล่ มิดฟิลด์ชาวบราซิเลียนว่า 'เขาทำได้ดีในช่วงท้ายฤดูกาลและผมคิดว่าเขาจะทำได้ดีในการเล่นเกมลักษณะนี้เพราะพวกเขาจะไม่ปล่อยให้คุณครองเกม เหนือสิ่งอื่นใดคือนี่เป็นเกมแรกของการเล่นเหย้า-เยือน มันเป็นการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมและอาร์ตูโร่ก็เล่นได้เยี่ยมยอด'
'ผมไม่ต้องคิดอะไรมาก เขากำลังอยู่ในฟอร์มที่ดีและผมมักจะคิดถึงการใช้ประโยชน์จากฟอร์มการเล่นของนักเตะ'เทรนเนอร์ชาวบาสโก้ชี้แจง
แน่นอนว่า บัลเบร์เด้ ต้องกล่าวชื่นชมกัปตันทีมของเขาซึ่งทำคนเดียวสองประตูในช่วงครึ่งหลังช่วยให้ทีมอาซูลกราน่าคว้าชัยชนะแบบสวยหรูว่า'เราทราบดีว่า เลโอ ทำอะไรได้บ้าง แต่เขาไม่เคยหยุดสร้างความประหลาดใจให้คุณเลย เขาเป็นกัปตันทีม เป็นคนขับเคลื่อนเกม กำหนดจังหวะเกมและตามปกติเขาทำถูกเสมอ'
'เขามีความมุ่งมั่นในระดับสูงต่อทีม, สโมสรและเพื่อนร่วมทีม เขาสร้างความแตกต่าง, ผลักดันเราไปสู่ชัยชนะและแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าเขาคือผู้นำทีม'
'เลโอ มักจะสร้างความประหลาดใจเสมอ ด้วยฟรีคิกระยะไกลแบบนั้น (ราว 30 หลา) ผมไม่คิดว่าเขาจะยิง ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำอย่างไร แต่เขายิงเข้าไปสำเร็จ เมื่อเราต้องการ เลโอ เขาจะอยู่ตรงนั้นเสมอ เขาจะทำให้คู่แข่งของเราหวาดกลัว'
สื่อกีฬาชั้นนำของยุโรปต่างเชิดชูผลงานระดับ'เวิลด์ คลาส'ของ เมสซี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อสัญชาติอังกฤษหลายค่ายไม่ว่าจะเป็น'มิร์เรอร์ สปอร์ต' หรือ 'เดลี่ เอ็กซ์เพรส' ต่างพาดหัวข่าวยกย่องความอัจฉริยะของกองหน้าชาวอาร์เจนไตน์ ส่วน 'เดลี่ เทเลกราฟ'ยกให้เป็นปรมาจารย์ของวงการลูกหนัง
แต่งานของ เมสซี่ และทีมอาซูลกราน่ายังไม่จบ พวกเขาทราบดีว่าจะต้องพบกับอะไรบ้างในการเยือน'แอนฟิลด์'วันอังคารหน้า ซึ่งตรงกับความเห็นของ พาทริค ไคลเวิร์ต อดีตกองหน้าบาร์ซ่าที่แสดงความเห็นหลังเกมเมื่อคืนวันพุธว่า'ในแอนฟิลด์จะเป็นค่ำคืนที่เร่าร้อน ยังมีความเชื่อว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้ มันเป็นสิ่งสำคัญที่ บาร์ซ่า รู้ว่าพวกเขาจะเล่นอย่างไรในฐานะทีมเยือน กับความได้เปรียบจากสกอร์ 3-0 แต่คุณไม่สามารถประมาทได้เช่นกัน'
นักเตะบาร์ซ่าแหย่ขาข้างหนึ่งไปที่สังเวียน'ว่านต๋า เมโตรโปลีตาโน่'ในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ เพียงแต่อย่าก่อความผิดพลาดในการเยือน'แอนฟิลด์'เหมือนที่เคยเกิดขึ้นที่กรุงโรมเมื่อปีก่อนเท่านั้น ขอแค่การยิงนอกบ้านสัก 1-2 ประตูก็น่าจะเพียงพอต่อการเดินหน้าสู่การไล่ล่า'ทริเปิ้ลแชมป์'เพื่อปิดฉากฤดูกาลนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT