'สิงโต'จะโตต่อไป
น่าเสียดายจริงๆ กับโอกาสที่อยู่ตรงหน้าเพียงแค่เอื้อม จะบอกว่าดวงไม่ดีพอมันก็คงไม่ถูกมากนัก แต่ด้วยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่โครเอเชียทำได้ดีกว่านั้นแหละที่ส่งพวกเขาสร้างประวัติศาสตร์เข้าชิงได้เป็นครั้งแรก
ลองดูสีหน้าท่าทางการตอบสนองของกองเชียร์สิงโตสิ!!!
ปกติเวลาพวกเขาตกรอบไม่ว่าจะแบ่งกลุ่มหรือน็อกเอาต์ พวกคลั่งความสำเร็จจะคอยร้องโห่ด้วยความไม่พอใจอยู่แล้ว
ทว่านี่กลับผิดถนัด แฟนๆ พวกเขาเอาแต่ให้กำลังใจ พร้อมเชิดชูในหัวจิตหัวใจของเหล่าเด็กๆ อายุน้อยที่กรุยทางกันมาได้ไกลถึงขนาดนี้
สื่อเมืองผู้ดีก็เช่นกัน!!!
ขึ้นชื่อว่าสื่อยี่ห้ออังกฤษแล้วหากไม่มีถ้วยรางวัลติดมือยังไงก็พร้อมเล่นงานเหล่านักเตะ และกุนซือให้จมดิน
ที่ไหนได้ ไม่มีแม้แต่ฉบับเดียวที่จะกล้าแหวกอากาศโจมตีพวกเขาเลย มีแต่พร้อมใจกันยกย่อง และเห็นใจมากกว่า เพราะต่างก็รู้ว่าทุกฝ่ายก็ช้ำใจมากแค่ไหน
จะว่าไปความดีความชอบก็ต้องยกให้ แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมไร้ชื่อเสียง ไร้ราคาที่เคยโดนหลายฝ่ายโจมตีก่อนหน้านี้ว่ามือไม่ถึง
ใครต่อใครก็รู้ว่าการที่เอฟเอ เลือกแต่งตั้งเขารั้งกุนซือถาวรหลังขัดตาทัพแทน แซม อัลลาร์ไดซ์ ที่ได้รับโอกาสคุมทีมในเกมอย่างเป็นทางการเพียงแค่นัดเดียวนั้นก็เพราะเรื่องของค่าจ้างที่ถูกแสนถูก หากนำไปเทียบกับพวกชื่อนำในวงการอีกหลายคน
แต่ของถูกใช่จะไม่ดี ของถูกใช่จะไร้ค่า หากมันตรงสเป็ค และเหมาะสมในเวลาที่ถูกที่ควรมันก็อาจกลายเป็นของแพงไปในทันที
แน่นอน เซาธ์เกต ไม่ได้มีแท็คติกชั้นครู ทว่าเขาก็เลือกวิทีการเล่นที่เหมาะสมกับสภาพทีมที่เขาเป็นคนเลือกมากับมือ
ในเมื่อแนวรุกมีความเร็ว ก็ไม่ต้องไปเน้นต่อบอลสวย เน้นไดเร็กท์สวนกลับเอา ในเมื่อมีนักเตะรูปร่างสูงใหญ่หลายคน ก็เน้นลูกตั้งเตะ ซึ่งก็นำมาต่อการได้ประตูเกือบทั้งทัวร์นาเมนต์
เกมของอังกฤษชุดนี้อาจไม่สวยงาม ไม่เพลินตา แต่พวกเขาก็ใช้ศักยภาพที่มีเอาตัวรอดมาได้ตั้งแต่เกมนัดเปิดสนามกับตูนิเซีย จนกระทั่งถึงเกมนัดตัดเชือกล่าสุด โชคร้ายที่มันอาจไม่ใช่วันของพวกเขา
ประตูแรกเริ่มตั้งแต่นาทีที่ 5 ก็มาจากการเล่นเซ็ตพีซ ฟรีคิกของ คีแรน ทริปเปียร์ ยิงได้อย่างน่าเหลือเชื่อ หลายคนตั้งฉายาให้เขาว่า 'นิวเดวิด เบ็คแฮม'
ทั้งที่จริงๆ แล้ว ทริปเปียร์ เป็นแค่เพียงแบ็กขวาเท่านั้น แต่ส่วนเหมือนก็คือเขาเป็นคนที่รับเหมาลูกตั้งเตะเกือบทั้งหมดของทีมในบอลโลกหนนี้ และก็ทำได้ดีหลายหน จนในที่สุดมีชื่อบนสกอร์บอร์ด
เกมเล่นมาเรื่อยๆ ซึ่งโครเอเชียนั้นดูเหมือนจะไม่มีทางสู้เลย เพราะเราต่างก็รู้ว่าพวกเขานั้นหมดแรงไปกับ 2 นัดในรอบน็อกเอาต์ที่ผ่านมาจากการโดนลากยาวไปจนถึงช่วงดวลเป้า
ในครึ่งแรกสิงโตมีโอกาสดีอีกตั้งหลายหนไม่ว่าจะเป็นลูกโหม่งของ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ หรือลูกยิงที่ดูจะไม่เน้นสักเท่าไหร่ของ เจสซี่ ลินการ์ด
พอเข้าครึ่งหลัง ทีมตราหมากรุกก็ไม่ได้มีจังหวะอันตรายสักเท่าไหร่นัก ฟูลแบ็กสองฝั่งทั้ง ซิเม่ เวอร์ซัลโก้ และ อีวาน สตรินิช ก็ดูล้าไปมาก
กระทั่ง!!!
ความประมาทเพียงเล็กน้อย แนวรับทางกราบซ้ายของทีมสิงโตปล่อยพื้นที่ให้แบ็กขวา แอต. มาดริด ได้ตั้งป้อมโยนแบบถนัด ผสมกับการไม่ประสีประสาในการยืนเซนเตอร์ฮาล์ฟของ ไคล์ วอล์คเกอร์ ที่โดน อีวาน เปริซิช โฉบตัดหน้าทั้งที่ตัวเองน่าจะเข้าถึงบอลก่อน
เมื่อสกอร์เป็น 1-1 มันเห็นได้ชัดเจนเลยว่าการเล่นของอังกฤษเปลี่ยนไป ถึงตรงนั้นปัญหาไม่ได้อยู่ที่ฝีเท้า ไม่ได้เกี่ยวกับระบบแบบแผนของ เซาธ์เกต แต่มันอยู่ที่จิตใจของนักเตะที่ประสบการณ์ค่อนข้างน้อยมาก
อายุเยอะที่สุดในขณะนั้นคือ แอชลี่ย์ ยัง ในวัย 33 ปี ส่วนรองลงมาก็คือ 28 ปีซึ่งมี 2 คนก็คือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ วอล์คเกอร์ เท่านั้น
พวกเขาเป๋มาจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ กระทั่งความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในแนวรับอีกหนจนมาโดน มาริโอ มานด์ซูคิช เล่นงานเข้าให้
หลังจบเกมเห็นสีหน้าท่าทางแข้งสิงโตแต่ละคนต่างหมดแรงใจ และหมดพลังงานกันทั้งนั้น แต่หากเราไล่ดูจากจุดเริ่มต้นใครจะไปคิดว่าทีมชุดนี้จะมาได้ไกลถึงรอบตัดเชือก แกเร็ธ เซาธ์เกต เองก็พยายามปลุกเร้าว่าทุกคนทำได้อย่างดีแล้ว
"ผมภูมิใจในกลุ่มนักเตะกับผลงานที่พวกเขาได้ทำในทัวร์นาเมนต์นี้ การตอบสนองจากกองเชียร์ในตอนท้ายเมื่อเทียบกับสองปีก่อนนั้นต้องบอกว่าเป็นไปได้ทิศทางบวก ประเทศนี้ภูมิใจกับสิ่งที่พวกเขาได้ทำ และมันจะดีขึ้นไปอีก"
"ในขณะที่เราทุกคนรู้สึกเจ็บปวดกับความพ่ายแพ้ เราไม่ได้คาดหวังว่าจะมาไกลถึงขนาดนี้ แต่เมื่อคุณมาถึงจุดนี้แล้ว และนักเตะก็ทำได้ดี คุณก็คงต้องการได้รับโอกาสเหล่านั้น"
สังเกตุให้ดี กุนซือเลือดผู้ดีเองจะเน้นย้ำเสมอถึงความภูมิใจที่เขามีให้กับลูกทีมทุกคน และก็กำลังพยายามดึงสติที่หลุดไปของเหล่าแข้งสิงโตให้กลับมาด้วยการชี้ว่าไม่มีอะไรที่ต้องเสียดายเลยกับประสบการณ์อันยอดเยี่ยมในทัวร์นาเมนต์นี้
อย่างลืมว่าทีมชาติอังกฤษคือทีมที่มีค่าเฉลี่ยอายุน้อยที่สุดเป็นอันดับสองในเวิลด์ คัพ ฉบับเมืองหมีขาว
เป้าหมายของพวกเขาที่วางไว้ไกลสุดก็คือรอบ 8 ทีม
แต่นี่ช่วยกันต่อสู้ฟันฝ่ามาถึงรอบรองชนะเลิศได้สำเร็จเป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์นับจากปี 1966 และ 1990 เป็นต้นมา
แล้วยิ่งในรอบ 13 เดือนที่ผ่านมา ทัพสิงโตไล่ตั้งแต่ชุดเยาวชนไล่ตั้งแต่ยู-17, ยู-19 ยู-20 และยู-21 นั้นต่างก็ประสบความสำเร็จคว้าถ้วยรางวัลในทัวร์นาเมนต์ดังๆ ทั้งระดับทวีป และระดับโลกมาได้หมด
ไม่ต้องไปเสียใจกับความผิดหวังที่ไม่อาจผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ
เพราะยังไงทัพสิงโตชุดนี้มันก็ต้องโตต่อไปอยู่ดี...
พาสต้า
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT