ระดับของหงส์แดง
เท่ากับว่าตอนนี้หงส์แดงเอาชนะรวดเลยตลอด 6 เกมแรกของซีซั่น ซึ่งมันเป็นครั้งที่ 3 ที่พวกเขาทำได้
หนแรกต้องย้อนกลับไปถึงปี 1978-79 โน่น สมัยมี บ็อบ เพสลี่ย์ เป็นกุนซือ ตอนนั้นลิเวอร์พูลถูกเบรกสถิติเอาไว้ในเกมที่ 7 หลังเสมอ เวสต์บรอมวิช 1-1
พวกเขาก็ไม่แพ้มาจนถึงทั่งไปพ่าย เอฟเวอร์ตัน 0-1 เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม แต่ก็ยังทะยานคว้าแชมป์ลีกด้วยการทิ้งห่างทีมอันดับสองถึง 8 แต้มด้วยกัน
ถัดมาก็คือปี 1990-91 ภายใต้การคุมทัพของ เคนนี่ ดัลกลิช หงส์แดงกดชัยได้ตลอด 8 เกมแรกในลีก และไร้พ่ายจนถึงเดือนธันวาคม
ทีมยังรั้งตำแหน่งจ่าฝูงมาจนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์กระทั่ง 'คิง เคนนี่' ตบะแตกชิงลาออก และสุดท้ายก็โดน อาร์เซน่อล ปาดหน้าเข้าวินไปในที่สุด
แต่ตอนนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ชนะมารวดตั้งแต่เริ่ม เนื่องจากเกมเปิดหัวในศึกแชริตี้ ชิลด์ ไปเสมอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด มา 1-1 ก่อนแล้ว
ขณะที่หนนี้นั้นถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรที่ทีมเอาชนะได้ทั้ง 7 เกมแรกของฤดูกาลในทุกรายการ
จึงไม่น่าแปลกที่ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครที่หน้าเปื้อนยิ้มเท่ากับพลพรรคชาวเดอะ ค็อป อีกแล้ว
ย้อนกลับไปถึงเกมล่าสุดที่เปิดแอนฟิลด์เอาชนะนักบุญแบบไม่ยากเย็น
ที่น่าสนใจก็คือการปรับเปลี่ยนทีมของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ มันน่ากลัวอยู่เหมือนกัน เพราะทีมฟอร์มดีมาตั้งแต่ต้น และนี่ก็คือการปรับเปลี่ยนเยอะที่สุดครั้งแรกของซีซั่น
ทว่านั่นก็เข้าใจได้ด้วยโปรแกรมหนักที่ชุก และก็เพิ่งจะผ่านเกมใหญ่กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง มาเมื่อกลางสัปดาห์
แนวรับ โฌแอล มาติป ถูกเรียกตัวคืนสู่ทีมแบบน่าเซอร์ไพรส์ ทำให้ โจ โกเมซ ที่กำลังฟอร์มสดต้องไปพักที่ม้านั่งสำรอง
ในแนวรุกสามขุนพลอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ อาจจะลงกันครบ แต่ก็มี เซอร์ดาน ชากิรี่ โผล่เข้ามาอยู่ในตัวจริงเป็นหนแรก
การยืนตำแหน่งในแผงหน้าก็เปลี่ยนไป โดยสตาร์ทด้วยการให้ ซาลาห์ ไปค้ำเป็นกองหน้าตัวเป้า ถ่าง ฟีร์มีโน่ ออกมายืนริมเส้นด้านซ้าย แล้วโยก มาเน่ กลับไปประจำการทางขวาที่เขาเคยเล่นสมัยย้ายมาอยู่กับทีมในฤดูกาลแรก
ขณะที่บทบาทของดาวเตะชาวสวิสนั้นเป็นตัวฟรีที่เคลื่อนที่ลงต่ำมารับบอล และก็ขึ้นไปสนับสนุนเกมรุกไม่ว่าจะเป็นทั้งริมเส้นสองฝั่ง หรือตรงกลาง
ก่อนหน้านี้ นายใหญ่ชาวเยอรมันเคยยอมรับว่าเขาค่อนข้างเสียใจที่ 'พี่หลาม' ไม่ได้ลงเล่นมากเท่าที่ควร (ทุกคนในทีมจะเรียก ชากิรี่ ว่า ชาร์ก)
เขาได้โอกาสลงสนามน้อยเมื่อมองไปถึงความมุ่งมั่น และตั้งใจในการทำงาน จำนวนเวลา 27 นาทีจาก 5 นัดแรกในพรีเมียร์ลีกถือว่าไม่เหมาะสมเลยกับคนเก่งๆ อย่างเขา
กลับมาว่ากันถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทีม ในแนวรับการมี มาติป เข้ามาไม่ได้ทำให้หลังบ้านแย่ลงไปอะไร เขาก็ยังมีมาตรฐานของเขา แถมยังสามารถสอดมาโหม่งประตูได้ เว้นแต่จังหวะจ่ายสั้นในช่วงนาทีที่ 12 จนเกือบโดน เชน ลอง ฉกไปยิง ยังดีที่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ช่วยเอาไว้ทัน
ขณะที่เกมรุกนั้น ชากิรี่ โดดเด่นมาก เรียกได้ว่ามากที่สุดแล้ว ทั้งยังมีส่วนช่วยให้ทีมได้ประตูแรก รวมถึงประตูที่สาม
แต่เมื่อมองไปยังภาพรวม ทีมกลับขาดสมดุลย์ไปเยอะในช่วง 45 นาทีแรก และก็ปล่อยให้ เซาธ์แฮมป์ตัน ได้ทำเกมรุกริมเส้นกันอย่างสบายใจทั้งจาก เซดริก โซอาเรส และ แม็ตต์ ทาร์เก็ตต์ ที่มีโอกาสเปิดบอลสวยๆ เข้าเขตโทษอยู่หลายที
โอเค...ครึ่งแรกลิเวอร์พูลอาจทำได้ถึง 3 ประตูก็จริง แต่ถ้ามองลึกไปยังรายละเอียดแล้วพวกเขาไม่ได้เล่นกันเป็นระบบเท่าไหร่เลย แต่ละลูกที่ได้มาก็จากความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะหงส์แดง และความผิดพลาดของทีมนักบุญทั้งนั้น
คล็อปป์ มองเห็นสิ่งนี้จึงรีบชิงลงมือเร็วด้วยการถอดเอา ชากิรี่ ออกในช่วงพักครึ่ง แล้วส่ง เจมส์ มิลเนอร์ ลงมาเล่นแทน
การลงมาของรองกัปตันนั้นทำให้ลิเวอร์พูลกลับไปใช้ฟอร์แม็ตเดิมคือ 4-3-3 จากทีแรกที่เหมือนจะยืนเป็น 4-2-3-1 โดย มิลเนอร์ มาเป็นมิดฟิลด์ตัวซ้าย เฮนเดอร์สัน นั้นปักหลักตรงกลาง และ ไวนัลดุม ก็ไปอยู่ทางขวา
จะเห็นได้ชัดว่าการมาของ มิลเนอร์ นั้นเขาจะคอยคัฟเวอร์พื้นที่ตรงกลางสนามทางฝั่งซ้ายช่วยบล็อค โซอาเรส ไม่ให้จู่โจมเร็วไปถึง แอนดี้ โรเบิร์ตสัน และนั่นทำให้ครึ่งหลังฟูลแบ็กทีมชาติโปรตุเกสมีโอกาสทะลุมาครอสบอลริมเส้นได้เพียงแค่ 2 หนเท่านั้น
ถามว่าหากไม่มองไปยังผลการแข่งขัน นักบุญเล่นนัดนี้ได้ดีไหม...
ตอบเลยว่า 'ดี' แต่...ไม่มีความอันตรายเลย
สถิติอาจนำมาใช้อ้างอิงอะไรไม่ได้หมด แต่มันก็ไม่เคยหลอกใคร เพราะกว่าทีมของ มาร์ค ฮิวจ์ส จะมีโอกาสยิงตรงกรอบครั้งแรกของเกมก็ปาเข้าไปในนาทีที่ 91 แล้วจาก ชาร์ลี ออสติน
นั่นก็เพราะ คล็อปป์ ได้ปิดเกมนัดนี้ลงตั้งแต่เริ่มนาทีที่ 46 ในตอนที่เปลี่ยนเอา มิลเนอณ์ ลงมาแล้ว และเขาก็ไม่ต้องการเสี่ยงทั้งในเรื่องของสกอร์ที่นำอยู่ และสภาพร่างกายของนักเตะในทีม
ชากิรี่ เองก็ไม่ใช่แพะ เขาเป็นคนที่เล่นได้โดดเด่นที่สุดในแผงแนวรุกแล้ว และสื่อยักษ์อย่างบีบีซีก็ยกให้เขาเป็นถึงแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ทั้งที่อยู่ในสนามเพียง 45 นาทีเท่านั้นเอง
กุนซือชาวเยอรมันก็น่าจะรู้ถึงเรื่องนั้น แต่เพื่อสิ่งที่ดีกว่าของทีมทำให้เขาจำต้องเลือกทำอะไรบางอย่าง และมันก็ไม่อาจถูกใจใครได้ทุกคนหรอก
อย่ากังวลเรื่องของ ชากิรี่ เลย เพราะเดี๋ยวกลางสัปดาห์ที่หงส์แดงมีคิวทำศึกคาราบาว คัพ กับ เชลซี เชื่อว่าปีกทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ก็น่าจะได้รับโอกาสอีกครั้ง และน่าจะได้โชว์ออฟแบบเต็มที่ด้วย
อีกสิ่งที่เหล่าเดอะ ค็อป กังวลก็คืออาการบาดเจ็บของ ฟาน ไดค์ ที่ลงไปนั่งกับพื้นในช่วงต้นครึ่งหลัง และถูกเปลี่ยนออกโดยมี โกเมซ ลงมารับงานแทน
หลายคนสงสัยว่าเขาไม่ได้เข้าปะทะหนักกับใครทำไมถึงเจ็บได้ แต่ คล็อปป์ ก็ออกมาเฉลยแล้วว่าเจ้าตัวมีอาการเจ็บชายโครงมาตั้งแต่เกมยุโรปกับ เปแอสเช และมันมีช่วงนาทีที่ 50 ที่เจ้าตัวไปปะทะกับ เนธาน เร้ดมอนด์ อาการก็เลยกำเริบ
แต่คาดว่าคงไม่ได้รุนแรงอะไร เพราะหลังจบเกมเราจะเห็นเซนเตอร์แบ็กเลือดดัตช์เดินยิ้มออกมาพร้อมกับบอส และมันก็เป็นการเปลี่ยนตัวเพื่อเซฟกับโปรแกรมสุดโหดที่ค่อนข้างชุกในช่วงนี้
เมื่อออกสตาร์ทได้สวยหรูขนาดนี้่ แน่นอนหลายคนเริ่มมองถึงแชมป์แล้ว แต่สำหรับตัวผมเองยังคงไม่ได้ฝันไกลอะไรขนาดนั้น มันอาจเป็นเพราะความผิดหวังที่สั่งสมมาเยอะ (ฮา ฮา) อีกทั้งเหล่าทีมคู่แข่งก็ยังแรงไม่แพ้กัน
แต่สิ่งที่เรารู้สึกได้ก็คือระดับของทีมที่เปลี่ยนไป
!!!
นี่คือทีมชุดดีที่สุดตั้งแต่ยุค 'เครื่องจักรสีแดง' จริงไม่จริงไม่รู้หรอก แต่หากบอกว่านี่คือทีมชุดดีที่สุด และหวังได้มากที่สุดตั้งแต่ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีผลัดใบมาใช้ชื่อพรีเมียร์ลีกอันนี้เห็นด้วย
ลิเวอร์พูลทุกวันนี้เป็นทีมที่เจอพวกเกรดรองแล้วไม่พลาด เวลาเจอทีมใหญ่ก็ชนะได้ แถมยังแสดงให้เห็นแล้วว่ามีขุมกำลังเพียงพอที่จะทดแทนกันเวลามีคนสำคัญหายไป
นี่แหละคือระดับของทีมแชมป์
ความสำเร็จในซีซั่นนี้จะได้ไม่ได้ไม่รู้
แต่ลิเวอร์พูลก้าวผ่านถึงระดับนี้เรียบร้อยแล้ว
พาสต้า
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT