:::     :::

ใครว่าหงส์'แพ้'นัดนี้เสียหาย

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2561 คอลัมน์ ในกะลาครอบ โดย พาสต้า
9,258
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ไม่ได้ผิดคาดมากกับความพ่ายแพ้ของ ลิเวอร์พูล ต่อ เปแอสเช

    แม้ก่อนเกมเดอะ ค็อป ทั้งหลายจะหวังว่าด้วยฟอร์มการเล่นที่ดีในซีซั่นนี้น่าจะทำให้หงส์แดงดีพอถึงบุกเอาชนะ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง ได้ถึงถิ่นเลย

    แต่บนโลกแห่งความเป็นจริงมันมีอะไรที่โหดร้ายมากกว่านั้น

    เท่ากับว่าทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ พุ่งชนความพ่ายแพ้รวดทั้ง 4 เกมเยือนหลังสุดในแชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งนั่นเป็นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรเลยด้วย

    กุนซือเยอรมันเริ่มต้นเกมนี้ด้วยแผนที่ค่อนข้างรัดกุม

    มันไม่ใช่เรื่องที่เดายากอะไรเลยกับสถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล ที่ดันทะลึ่งบ้งไปแพ้ เซอร์เวน่า ซเวซด้า ที่เบลเกรดจะต้องมาเน้นรับในนัดนี้ เพราะขอเพียง 1 แต้มที่ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ พวกเขาก็จะยังอยู่ในเส้นทางที่สดใส

    คล็อปป์ เลือกปรับระบบจาก 4-2-3-1 มาเป็น 4-3-3 พร้อมใส่ โจ โกเมซ แทน เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ในตำแหน่งแบ็กขวา พลางถอด เซอร์ดาน ชากิรี่ ออกแล้วยัด เจมส์ มิลเนอร์ ไปบู๊ในแผงกลางแทน

    โกเมซ เป็นคนที่เล่นเกมรับได้ดีกว่า เทรนท์ อยู่แล้วอันนี้เข้าใจได้

    ส่วนทำไม ชากิรี่ ที่ฟอร์มกำลังดีไม่ได้โอกาสลงเล่นก็เข้าใจได้เหมือนกันว่าต้องการใส่ตัวไล่บอลในแดนกลางเพิ่มเข้าไป

    ลิเวอร์พูล เคยใช้แผนนี้สำเร็จมาแล้วในการเล่นแบบรัดกุมนัดเสมอ แมนฯ ซิตี้ 0-0 เมื่อต้นเดือนธันวาคม

    แต่!!!

    ที่ต่างกันก็เพราะเกมนั้นเรือใบของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ดันปอดแหกเกิดกลัวเสียอย่างนั้นเลยมาเล่นเกมรับด้วย ผลที่ออกมาก็เลยเป็นต่างคนต่างรับจนเกิดนัดชวนง่วงขึ้น

    ทว่าทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล นั้นต้องบังคับชนะสถานเดียวเพื่อจะได้มีแต้มแซงหน้าหงส์แดง และไปกำหนดชะตาชีวิตตัวเองในเกมสุดท้าย

    มันจึงทำให้พวกเขาพยายามบุกหนักจากทุกทิศทุกทางจนกระซวกตาข่ายได้ตั้งแต่หัววัน

    เกมของ ปารีส เป็นไปตามที่ ทูเคิ่ล บอกก่อนเกมทุกอย่าง เขาพูดว่าทีมของเขาจะต้องเล่นให้เร็วเพื่อทำลายระบบเกมรับของ ลิเวอร์พูล

    จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ออกสตาร์ทนาทีแรก เปแอสเช พยายามเล่นแบบวันทัชยามครองบอล ขณะที่เวลาเสียบอลก็จะวิ่งไล่เพรสซิ่งตั้งแต่แดนบนเลยทีเดียว

    แต่ความเสียหายจะไม่เกิดหากนักเตะหงส์แดงไม่ไปเสียบอลกันง่ายๆ เอง

    อย่างลูกแรกที่้เสีย ลิเวอร์พูลก็โดนการจู่โจมเร็วของ ปารีส ซึ่งเกิดเครื่องหมายคำถามว่าแผงมิดฟิลด์ทั้งสามรายจำเป็นไหมที่จะต้องยืนสูงกว่ากึ่งกลางสนามในขณะที่เจ้าถิ่นทะลุขึ้นมาถึง 5 คน ขวาหนึ่ง ซ้ายหนึ่ง ตรงกลางหน้าสุดหนึ่ง และตรงกลางลำเลียงบอลตัวต่ำมาอีก 2

    สังเกตุว่าจังหวะนั้นเกมรับของหงส์แดงเหลือเพียง 3 ราย โดย โกเมซ วิ่งลงมาไม่ทัน และมันก็เปิดโอกาสให้ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ พาบอลเข้าเขตโทษไปตบเข้ากลาง แม้จะติด เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ทีแรก ทว่าสุดท้ายก็ยังเป็น ฆวน เบร์นาต ที่จบสกอร์เข้าไป

    จุดเริ่มต้นมันเพราะ ลิเวอร์พูล ไปเสียการครอบครองบอลกันง่ายเกินไปในแนวรุก

    ส่วนประตูที่สองยิ่งชัด เป็นจังหวะที่หงส์แดงพาบอลไปในแดน ปารีส แท้ๆ แต่พอโดนตัดได้เพียงชั่วพริบตาเดียว เมื่อแบ็กสองฝั่งลอยสูงโดยเฉพาะด้านขวา เปแอสเช เลยใช้พื้นที่ว่างตรงนั้นในการสวนกลับ

    ทูเคิ่ล เองก็ละเอียดพอสมควรกับการปรับ เอ็มบั๊ปเป้ มาโจมตีทางฝั่งขวาของหงส์แดง ซึ่งโดยปกติแล้วไอ้หนูแชมป์โลกรายนี้มักจะประจำการทางด้านขวาของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการดวลกับ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน โดยมี ฟาน ไดค์ ซ้อน น่าจะยากกว่าเจาะตรงช่องของ โกเมซ และ เดยัน ลอฟเรน

    กับการได้จุดโทษในช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้ายที่ทำให้เหมือนเป็นจุดเปลี่ยนที่น่าจะทำให้ ลิเวอร์พูล กลับสู่เกมได้ก็ต้องยอมรับว่ามาจากความเฟอะฟะของ อังเคล ดิ มาเรีย ที่ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องกระโดดเสียบสองขาคู่ใส่ ซาดิโอ มาเน่ แบบนั้นเลย

    ครึ่งหลัง ทูเคิ่ล ปรับแผนทันที เลิกมันให้หมด เลิกเพรสซิ่งสูง เลิกไล่บอลแดนบน เปลี่ยนวิธีมาเน้นแพ็คในแดนตัวเอง พร้อมใช้โอกาสโต้กลับจากความเร็วของ เอ็มบั๊ปเป้ นั่นจึงทำให้ ลิเวอร์พูล เหมือนจะครองบอลบุกฝ่ายเดียว

    แต่ขอโทษ จานลุยจิ บุฟฟ่อน แทบเสื้อไม่เปื้อนเลยตลอด 45 นาทีสุดท้าย

    กับความพ่ายแพ้ในนัดนี้นอกจากสกอร์แล้ว แนวรุกอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ มาเน่ ก็แพ้ให้กับ ธิโล เคห์เลอร์, มาร์กินโญส และ ติอาโก้ ซิลวา

    ตรงกลางสนามอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จีนี่ ไวนัลดุม และ มิลเนอร์ ก็ไม่สามารถหยุดการทะลุทะลวงของทั้ง มาร์โก แวร์รัตติ และ เนย์มาร์ อยู่

    แผงหลังก็ตามสภาพ เมื่อข้างหน้าเสียบอลง่าย ตรงกลางเล่นไม่ดี มันก็เลยโดนเจาะอย่างที่เห็น

    ถ้าเปิดเรตติ้งของทีมออกมาทั้งหมดคนที่คะแนนเยอะสุดในเกมนี้ของ ลิเวอร์พูล คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก อาลีสซง เบ็คเกอร์

    มันพลันให้นึกถึงทีมเพื่อนร่วมพรีเมียร์ลีกบางทีมที่มีตำแหน่งผู้รักษาประตูเป็นความหวังสูงสุด (ขอกัดนิดนึง อิอิ)

    หลังจบเกม คล็อปป์ หัวร้อนผ่าวพร้อมหล่นวาทะเรียกเสียงฮาจากนักข่าวแบบที่ตัวเองก็คงฮาไม่ค่อยออกด้วยประโยคที่ว่า 'We looked like butchers' ประมาณว่า 'ทำไมกูโดนฝ่ายเดียวเลยวะ!!!'

    "เมื่อเกมเริ่มต้นแบบนั้นมันยากที่จะรักษาความมั่นใจ ดังนั้นมันจึงไม่เคยเป็นเกมของเรา อีกหนึ่งเรื่องคือเราโดนเตะโดนตัดมากกว่า 500,000 ครั้งได้ล่ะมั้งในครึ่งหลัง และผู้ตัดสินก็คงคิดว่าตัวเองเป่าโคตรดี"

    "เราเป็นหนึ่งในทีมที่เล่นขาวสะอาดที่สุดในอังกฤษนะ แต่วันนี้เราเหมือนทีมที่โดนกระทำฝ่ายเดียว"

    "โอเค เรายอมรับการตัดสิน แต่มันก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่ใช่ไหมล่ะ ตอนนี้เราคงต้องใช้บรรยากาศในแอนฟิลด์อีกครั้งแล้ว"

    แถม คล็อปป์ ยังทิ้งท้ายด้วยว่า แวร์รัตติ โชคดีชิบเป๋งที่ไม่โดนใบแดงจากการเสียบใส่ โกเมซ ซึ่งพอดูจากทั้งภาพนิ่ง และภาพช้าแล้ว เออ... มึงไม่แดงได้ไงวะ!!!

    กระนั้นเสีย สถานการณ์ทั้งหมดก็ยังคงอยู่ในกำมือของหงส์แดงเราอยู่ เพราะนัดสุดท้ายขอแค่เอาชนะ นาโปลี 1-0 หรือหากเป็นสกอร์อื่นก็ต้องยิงห่างสองลูกขึ้นไปก็จะลอยลำน็อคเอาต์ทันที

    ไม่ต้องไปคิดเรื่องของ เปแอสเช ว่ามันจะชนะไหม เร้ด สตาร์ จะสู้ไหวรึเปล่าให้ปวดหัว เอาตัวเอง โฟกัสแค่ตัวเองนั่นแหละดีที่สุด

    แม้ใครหลายคนจะบอกว่าตอนนี้ ลิเวอร์พูล อยู่ปากเหวในการร่วงรอบแบ่งกลุ่มแชมเปี้ยนส์ลีกแล้ว

    แต่เอาเข้าจริงต้องบอกว่าความพ่ายแพ้ต่อ ปารีส ก็ไม่ได้เสียหายอะไร

    ที่บอกว่าไม่เสียหายก็เพราะว่า...

    เราจะได้ไม่ต้องอดหลับอดนอนเชียร์บอลยุโรปรอบน็อคเอาต์ตอนดึกๆ ยังไงล่ะ

    ถรุยยย!!!...


    พาสต้า


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})