เมื่อแท็กติกอยู่เหนือจิตวิญญาณ

พลันจบเกมที่แอนฟิลด์ สกอร์บอร์ดค้างผลไว้ที่ 0-0 เหมือนเริ่มต้น
โนโกล โนความเข้มข้น และโนความตื่นเต้นเร้าใจใดๆ
อันที่จริง ทรงมันมาตั้งแต่ไลน์อัพประกาศแล้ว เมื่อ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่พาผีแดงออกสตาร์ทได้อย่างเกรียงไกรในฤดูกาลนี้ปรับเปลี่ยนการยืนของตัวผู้เล่น
แมนฯ ยูไนเต็ด ยุคใหม่ที่เราได้เห็นกัน พวกเขาต่างไปจากซีซั่นก่อนอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเคลื่อนที่ หรือการเข้าทำ ประตูที่ได้มันเลยไหลมาเทมาเหมือนน้ำเชี่ยวกราก
แบ็กขวา อันโตนิโอ วาเลนเซีย เติมเกมรุกดีอยู่แล้ว ขณะที่ทางซ้าย ดาเล่ย์ บลินด์ เปิดบอลเข้าทำดี ช่วงหลังๆ มาเป็น แอชลี่ย์ ยัง ก็อารมณ์เดียวกับ วาเลนเซีย คือมีจุดเด่นที่การบุก
สังเกตุได้ว่า มูรินโญ่ ในปีนี้มีการขึ้นเกมตั้งแต่แผงแนวรับมาเลย
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ 5 แมตช์หลังสุด พวกเขายิงคู่แข่งได้นัดละ 4 ประตู ถึง 4 นัดจากในนั้น
ทว่ากับศึกแดงเดือดยกแรกฉบับ 2017-18 แผนการเล่นของทีมผีแดงอาจเหมือนเดิม แต่สังเกตุที่แบ็กซ้ายจับเอา มัตเตโอ ดาร์เมียน กองหลังอิตาเลี่ยนลงมาแทน ซึ่งเขาก็ไม่ได้เด่นในเรื่องเกมรุกอยู่แล้ว
ทำไมต้องเอา ยัง มายืนทางขวา
???
นั่นเพราะอดีตปีกทีมชาติอังกฤษได้พิสูจน์แล้วว่าเล่นเกมรับได้ดี และก็ทำได้เหนือกว่าทั้ง เจสซี่ ลินการ์ด หรือ มาต้า อย่างแน่นอน
ส่วนทางซ้าย การใช้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล หรือ มาร์คัส แรชฟอร์ด อารมณ์คงไม่ต่างกันมากสักเท่าไหร่
ส่วน ลิเวอร์พูล ด้วยสถานการณ์ที่หลังพิงฝา ชนะแค่เกมเดียวจาก 4 นัดหลังสุดในลีก ทำให้การเฝ้ารังแบบนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังไงก็ต้องเน้นบุกเพื่อสามคะแนนแน่
แผนการเล่นของหงส์แดงแทบจะเหมือนเดิมทุกอย่างจากที่ผ่านมา
แค่ไม่มี ซาดิโอ มาเน่ ซึ่งเจ็บพักยาวไป 6 สัปดาห์แล้วดัน ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ขึ้นไปยืนทางฝั่งซ้าย ส่วนตรงกลางก็อัดทั้ง เอ็มเร่ ชาน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม โดยรายหลังจะถูกวางบทบาทเล่นเกมรุกมากกว่าคนอื่นๆ
ออกสตาร์ทเสียงนกหวีดของ มาร์ติน แอ็ตกินสัน ทุกอย่างเป็นไปตามคาด
ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายเดินหน้าบุกเข้าใส่แทบจะข้างเดียว ข้างเดียวถึงขนาดเปอร์เซ็นต์ครองบอลข่มชนิด 70 ต่อ 30 เลย
แต่ทุกอย่างก็เข้าอีหรอบเดิม บุกเยอะ มีโอกาสเยอะ ได้สับไกเยอะ แต่ไม่มีประตู
แถมยังเกือบจะโดนหมัดน็อคจากการตั้งรับอดทนของแมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยทีเด็ดของ โรเมลู ลูกากู
หากใครนั่งดูตั้งแต่ต้นจนจบ จะเห็นได้ชัดว่า ลูกากู ทำท่าหงุดหงิดมากเกือบตลอดทั้งเกม เขาพยายามโบกไม้โบกมือว่าให้เพื่อนโยนบอลทิ้งมาแดนหน้าที่ตัวเลย
มันเป็นแท็กติกของทีมตั้งรับเน้นไม่เสียประตู คือถ้าทิ้งโด่งๆ ตรงๆ ไปข้างหน้าแล้วโดนตัดได้ บอลจะเด้งกลับมาเร็วทันที แต่หากไปด้านข้างแล้วเกิดเก็บไม่ได้ อย่างน้อยๆ บอลก็ออก ทำให้แนวรับพวกเขามีเวลาจัดระเบียบได้ทันเวลา
มองให้ลึกมันคงเป็นการทำงานหนักตรงกลางจากทั้ง เนมานย่า มาติช กับ อันเดร์ เอร์เรร่า สองคนนี้ทำให้พวกลิเวอร์พูลได้แค่เคาะบอลไปนอกระยะเร้ดโซน
สำหรับเดอะ ค็อป พวกเขาอาจจะบุกได้เยอะ และเป็นฝ่ายน่าได้ประตูก็จริง แต่ก็คงเป่าปากโล่งใจไม่น้อย ที่ไม่เจอเรื่องหลอนเหมือนต้นปี 2016 ที่บุกทั้งเกม เล่นดีกว่าทั้งเกม แต่สุดท้าย เวย์น รูนี่ย์ มายิงประตูชัยให้ทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล บุกมาชนะที่แอนฟิลด์ซะอย่างงั้น
พูดถึงแดงเดือดยุคนี้ มนต์ขลังความดุเดือดแทบไม่เหลือให้เห็นแล้ว ไม่มีการใส่เต็มเหนี่ยว ไม่มีการทุ่มเทด้วยชีวิตจิตใจ
จิตวิญญาณของ เจมี่ คาร์ราเกอร์, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ฮาเวียร์ มาสเคราโน่, รอย คีน, พอล สโคลส์ หรือ เนมานย่า วิดิช ความเข้มข้นเหล่านี้เราจะไม่ได้เห็นจากนักเตะทีมชุดนี้ที่เจอกันเองแน่
สุดท้ายฟุตบอลยุคใหม่มันก็เป็นการแข่งขันที่เน้นผล มีธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง
มันไม่ได้เป็นกีฬาอย่างแท้จริงร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกับอดีตที่ดูยังไงก็สนุกดุเดือดตลอด
เมื่อแท็กติกสำคัญกว่าจิตวิญญาณ
คนที่ต้องยอมรับ และปรับตัวตามก็คือแฟนบอลรุ่นเก่าอย่างพวกเรา
อันที่จริง ทรงมันมาตั้งแต่ไลน์อัพประกาศแล้ว เมื่อ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่พาผีแดงออกสตาร์ทได้อย่างเกรียงไกรในฤดูกาลนี้ปรับเปลี่ยนการยืนของตัวผู้เล่น
แมนฯ ยูไนเต็ด ยุคใหม่ที่เราได้เห็นกัน พวกเขาต่างไปจากซีซั่นก่อนอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเคลื่อนที่ หรือการเข้าทำ ประตูที่ได้มันเลยไหลมาเทมาเหมือนน้ำเชี่ยวกราก
แบ็กขวา อันโตนิโอ วาเลนเซีย เติมเกมรุกดีอยู่แล้ว ขณะที่ทางซ้าย ดาเล่ย์ บลินด์ เปิดบอลเข้าทำดี ช่วงหลังๆ มาเป็น แอชลี่ย์ ยัง ก็อารมณ์เดียวกับ วาเลนเซีย คือมีจุดเด่นที่การบุก
สังเกตุได้ว่า มูรินโญ่ ในปีนี้มีการขึ้นเกมตั้งแต่แผงแนวรับมาเลย
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ 5 แมตช์หลังสุด พวกเขายิงคู่แข่งได้นัดละ 4 ประตู ถึง 4 นัดจากในนั้น
ทว่ากับศึกแดงเดือดยกแรกฉบับ 2017-18 แผนการเล่นของทีมผีแดงอาจเหมือนเดิม แต่สังเกตุที่แบ็กซ้ายจับเอา มัตเตโอ ดาร์เมียน กองหลังอิตาเลี่ยนลงมาแทน ซึ่งเขาก็ไม่ได้เด่นในเรื่องเกมรุกอยู่แล้ว
แผนของมูรินโญ่ทำให้แดงเดือดกลายเป็นแดงจืดมากกว่า
ทำไมต้องเอา ยัง มายืนทางขวา
???
นั่นเพราะอดีตปีกทีมชาติอังกฤษได้พิสูจน์แล้วว่าเล่นเกมรับได้ดี และก็ทำได้เหนือกว่าทั้ง เจสซี่ ลินการ์ด หรือ มาต้า อย่างแน่นอน
ส่วนทางซ้าย การใช้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล หรือ มาร์คัส แรชฟอร์ด อารมณ์คงไม่ต่างกันมากสักเท่าไหร่
ส่วน ลิเวอร์พูล ด้วยสถานการณ์ที่หลังพิงฝา ชนะแค่เกมเดียวจาก 4 นัดหลังสุดในลีก ทำให้การเฝ้ารังแบบนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังไงก็ต้องเน้นบุกเพื่อสามคะแนนแน่
แผนการเล่นของหงส์แดงแทบจะเหมือนเดิมทุกอย่างจากที่ผ่านมา
แค่ไม่มี ซาดิโอ มาเน่ ซึ่งเจ็บพักยาวไป 6 สัปดาห์แล้วดัน ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ขึ้นไปยืนทางฝั่งซ้าย ส่วนตรงกลางก็อัดทั้ง เอ็มเร่ ชาน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม โดยรายหลังจะถูกวางบทบาทเล่นเกมรุกมากกว่าคนอื่นๆ
ออกสตาร์ทเสียงนกหวีดของ มาร์ติน แอ็ตกินสัน ทุกอย่างเป็นไปตามคาด
ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายเดินหน้าบุกเข้าใส่แทบจะข้างเดียว ข้างเดียวถึงขนาดเปอร์เซ็นต์ครองบอลข่มชนิด 70 ต่อ 30 เลย
แต่ทุกอย่างก็เข้าอีหรอบเดิม บุกเยอะ มีโอกาสเยอะ ได้สับไกเยอะ แต่ไม่มีประตู
แถมยังเกือบจะโดนหมัดน็อคจากการตั้งรับอดทนของแมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยทีเด็ดของ โรเมลู ลูกากู
หากใครนั่งดูตั้งแต่ต้นจนจบ จะเห็นได้ชัดว่า ลูกากู ทำท่าหงุดหงิดมากเกือบตลอดทั้งเกม เขาพยายามโบกไม้โบกมือว่าให้เพื่อนโยนบอลทิ้งมาแดนหน้าที่ตัวเลย
ลูกากูแทบไร้ตัวตนจากแผนเพลย์เซฟของผีแดง
มันเป็นแท็กติกของทีมตั้งรับเน้นไม่เสียประตู คือถ้าทิ้งโด่งๆ ตรงๆ ไปข้างหน้าแล้วโดนตัดได้ บอลจะเด้งกลับมาเร็วทันที แต่หากไปด้านข้างแล้วเกิดเก็บไม่ได้ อย่างน้อยๆ บอลก็ออก ทำให้แนวรับพวกเขามีเวลาจัดระเบียบได้ทันเวลา
ฮีทแมพของลูกากูแสดงให้เห็นว่าแนวรุกผีแดงไม่เล่นเกมรุกเลย
มองให้ลึกมันคงเป็นการทำงานหนักตรงกลางจากทั้ง เนมานย่า มาติช กับ อันเดร์ เอร์เรร่า สองคนนี้ทำให้พวกลิเวอร์พูลได้แค่เคาะบอลไปนอกระยะเร้ดโซน
สำหรับเดอะ ค็อป พวกเขาอาจจะบุกได้เยอะ และเป็นฝ่ายน่าได้ประตูก็จริง แต่ก็คงเป่าปากโล่งใจไม่น้อย ที่ไม่เจอเรื่องหลอนเหมือนต้นปี 2016 ที่บุกทั้งเกม เล่นดีกว่าทั้งเกม แต่สุดท้าย เวย์น รูนี่ย์ มายิงประตูชัยให้ทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล บุกมาชนะที่แอนฟิลด์ซะอย่างงั้น
พูดถึงแดงเดือดยุคนี้ มนต์ขลังความดุเดือดแทบไม่เหลือให้เห็นแล้ว ไม่มีการใส่เต็มเหนี่ยว ไม่มีการทุ่มเทด้วยชีวิตจิตใจ
แพสชั่นและความมันเหมือนอดีตไม่มีให้เห็นอีกแล้ว
จิตวิญญาณของ เจมี่ คาร์ราเกอร์, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ฮาเวียร์ มาสเคราโน่, รอย คีน, พอล สโคลส์ หรือ เนมานย่า วิดิช ความเข้มข้นเหล่านี้เราจะไม่ได้เห็นจากนักเตะทีมชุดนี้ที่เจอกันเองแน่
สุดท้ายฟุตบอลยุคใหม่มันก็เป็นการแข่งขันที่เน้นผล มีธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง
มันไม่ได้เป็นกีฬาอย่างแท้จริงร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกับอดีตที่ดูยังไงก็สนุกดุเดือดตลอด
เมื่อแท็กติกสำคัญกว่าจิตวิญญาณ
คนที่ต้องยอมรับ และปรับตัวตามก็คือแฟนบอลรุ่นเก่าอย่างพวกเรา
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT