ให้มันได้อย่างนี้สิวะ!!!
อันที่จริงมันก็ไม่ได้ถือเป็นอะไรที่เกินเป้า เนื่องจากก่อนเกมนี้เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าเดอะ เชอร์รี่ส์ นั้นเป็นทีมที่ห่วยนอกบ้านมาก แพ้มา 7 นัดเยือนติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก
แต่สิ่งที่ทำให้เหล่าสาวกเดอะ ค็อป ต้องลิงโลดก็เพราะความอึดอัดกับผลการแข่งขัน รวมถึงฟอร์มการเล่น 2 นัดก่อนหน้านี้ ทำให้โดน แมนฯ ซิตี้ แซงขึ้นไปเป็นจ่าฝูง
ในขณะที่ปั่นต้นฉบับนี้ผมยังไม่รู้ผลในคู่ของ แมนฯ ซิตี้ กับ เชลซี ซึ่งหากฝ่ายแรกชนะก็จะแซงหงส์แดงไปรั้งจ่าฝูงอีกหนจนกว่าจะถึงโปรแกรมแดงเดือดที่นั่นแหละจะทำให้เราเตะเท่ากับทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
อันที่จริงผมก็ไม่ได้อยากจะเขียนถึง ลิเวอร์พูล อะไรมาก เพราะเวลามีงานที่หงส์แดงมาเกี่ยวข้องทีไร แน่นอนความเอนเอียงย่อมเกิดขึ้นอยู่แล้ว
จะสังเกตุได้ว่างานของผมในช่วงหลังๆ จะออกแนววาไรตี้หลากหลายเรื่องราวต่างๆ มากกว่าไม่เชื่อไปย้อนดูได้
ทว่ากับการที่ทีมรักกลับมาโชว์ฟอร์มได้ดีอีกครั้งหลังสะดุดไปมันก็ทำให้ความอัดอั้นต่างๆ พวยพุ่งออกมา
ว่ากันถึงเกมนี้ ข่าวดีของพวกเราเลยก็คือ คล็อปป์ ได้เหล่านักเตะที่มีอาการบาดเจ็บหายกลับมาหลายราย ไล่ตั้งแต่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ รวมถึงสองมิดฟิลด์ตัวกลางอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม
สิ่งที่เป็นข้อถกเถียงอันร้อนระอุในโลกโซเชียลช่วงที่ผ่านมาก็คือระบบการเล่น
บ้างก็ว่าอยากให้ใช้ 4-3-3 เหมือนที่เป็นมาตั้งแต่ซีซั่นก่อน บ้างก็ว่า 4-2-3-1 ดูสมดุลย์มากกว่า
สุดท้ายแล้ว นายใหญ่เมืองเบียร์ก็เลือกแผน 4-3-3 อีกครั้ง เช่นเดียวกับนัดก่อนหน้านี้ที่เสมอ เวสต์แฮม แบบที่เรียกได้ว่าฟอร์มดิ่งลงเหวแทบจะที่สุดนัดนึงในฤดูกาลนี้
โอเค เมื่อแผนการถูกวางไว้ตามเดิม แต่ที่เปลี่ยนแปลงไปหนึ่งตำแหน่งก็คือ จีนี่ ไวนัลดุม ได้โดนยัดเป็นตัวจริงแทน อดัม ลัลลาน่า
แม้จะไม่มีข้อบ่งชัดว่านี่คือจุดที่ทำให้หงส์แดงดีกว่าเดิมจากหน้ามือเป็นหลังตรีน!!! แต่มันก็ชัดเจนว่าดาวเตะดัตช์สร้างอิมแพ็คท์ในเกมนี้ได้อย่างมากมาย
เริ่มเกมมาสิ่งที่เราได้เห็นจนชินตาก็คือ ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายบุกครองบอลได้มากกว่าเมื่อพบกับคู่แข่งที่ไม่ใช่ทีมใหญาอะไร ทีมพวกนั้นจะมาแผนเดียวกันหมดก็คือ มรึงอยากครองบอลก็ครองไป แต่กรูก็จะไม่เปิดพื้นที่สุดท้าย หรือปล่อยให้พวกมรึงได้เล่นเกมเร็วแน่นอน
แม้ก่อนที่จะได้ประตูขึ้นนำจาก ซาดิโอ มาเน่ ในนาทีที่ 24 หงส์แดงจะมีโอกาสลุ้นประตูอยู่บ้าง แต่ที่ต้องยอมรับเลยก็คือความอึดอัดที่ยังหาโอกาสจะแจ้งไม่ได้เสียที
ทีนี้พอ มาเน่ โหม่งเข้าไปมันก็มีประเด็นอีกแล้วว่าล้ำหน้ารึเปล่า โกงรึเปล่า อะไรอีกรึเปล่า
แต่ขอโทษ นั่นมันก็เป็นการทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน ซึ่งก็ทีมงานเดียวกันกับที่ทำทั้งลีก และลูกนี้มันก็ไม่ได้ล้ำหน้าแบบชัดเจน หรือน่าเกลียดอะไร จะว่าล้ำก็ได้ หรือไม่ล้ำก็ได้ มันก้ำกึ่งมากกว่า
ยังไงจังหวะนี้ก็ต้องชมเชยการเข้าทำของ ลิเวอร์พูล ด้วยที่พยายามหาทางเจาะแนวรับอันหนาแน่นของทีมเยือน ก่อนที่ เจมส์ มิลเนอร์ จะได้บรรจงเปิดบอลอย่างงามหยดมาเข้าหัว มาเน่
ทีนี้หลายคนกลัวกันไปอีก!!!
2 นัดที่ผ่านมา มาเน่ ยิงประตูขึ้นนำเหมือนกัน และก็ลงเอยด้วยการไม่ชนะเหมือนกัน
อ้าว!!! พอ มาเน่ ยิงประตูแรกของเกมมันเลยมีความรู้สึกเสียวสันหลังยังไงบอกไม่ถูก แต่ไม่ใช่กับนัดนี้
สิ่งที่ได้เห็นหลังจากหงส์แดงมีสกอร์นำ 1-0 แล้วก็คือ ลิเวอร์พูล พยายามเดินหน้าบุกต่อ แต่ด้วยสีหน้า แววตา หรือการเล่นของนักเตะมันแตกต่างไปจาก 2 เกมก่อน มันดูเหมือนพวกเขาจะเล่นเป็นตัวเองในแบบที่มั่นใจมากกว่าเดิม
ปัญหาที่ว่านำแล้วไม่ได้เม็ดสองก็คลี่คลายไปด้วยลูยิงระดับเวิลด์คลาสขจอง จีนี่ ซึ่งก็เกิดจากการเพรสซิ่ง แล้วฉกบอลได้จาก จอร์ดอน ไอบ์ ก่อนที่ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน จะโชว์เท้าชั่งทองหยอดอย่างเหมาะเจาะเข้าเขตโทษ
พอครึ่งแรกจบด้วยสกอร์นำ แถมเป็นการนำแบบสองลูก แน่นอน ลิเวอร์พูล เล่นง่ายขึ้นมาก
เป็นไปตามคาด ครึ่้งหลัง บอร์นมัธ เลิกเล่นแบบรับลึก และพยายามเปิดเกมสู้เพื่อทวงประตูคืน และมันก็เข้าทางหงส์แดงชัดเจน เพราะมาได้ลูกสามจากการเริ่ม 45 นาทีหลังเพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้น
เกมเพรสซิ่งของ ลิเวอร์พูล ทำงานอีกระลอก และ นาบี เกอิต้า บุรุษผู้โดนโลกโซเชียลกระทืบจนร่างแหลกในช่วงหลัง โชว์สกิลจ่ายคิลเลอร์พาส บอลไปถึง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ตอกส้นคืนมาให้ โม ซาลาห์ รับช่วงต่อยิงเข้าไป
เกมนี้จะเห็นได้ว่า ลิเวอร์พูล เริ่มกลับมาเล่นเกมเพรสซิ่งแบบที่ชินตาในยุคของ คล็อปป์ อีกครั้ง แต่ไม่ใช่ว่าบ้าเลือกตะบี้ตะบันเพรสมั่วตั้วไปหมด ตลอด 90 นาทีในเกมจะมีการเพรสหนัก เพรสเบา เรียกได้ว่าครบรสเลยทีเดียว
จากนั้นเกมสวนกลับของ ลิเวอร์พูล ก็ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แต่น่าเสียดายที่ประสิทธิภาพนั้นดันไม่มาในช่วงของจังหวะจบสกอร์ด้วย เลยกลายเป็นยิงนกตกปลาไปเสียหมด
หลายคนเสียดายที่ไม่ชนะเยอะกว่านี้ แต่อย่างลืมนะครับ อย่างน้อยๆ เราก็กลับมาเก็บสามแต้มอีกครั้ง และมีคลีนชีตอีกครั้งด้วย
ตามความรู้สึก ซีซั่นนี้หงส์แดงเปลี่ยนไปเป็นทีมที่มีเกมรับเป็นจุดขาย สถิติไม่เคยหลอกใคร ก่อนเข้าสู่ปี 2019 พวกเขาเสียประตูในลีกไปเพียงแค่ 8 ลูกเท่านั้น
ทว่าด้วยอาการบาดเจ็บ หรือจะกดดันอะไรก็แล้วแต่ ช่วงหลังเกมรับที่เคยแกร่งดังภูผาไม่ได้ดีเหมือนเก่า 3 นัดหลังสุดพวกเขาไม่มีคลีนชีตเลย แถมเสียรวมถึง 5 ลูกด้วยกัน
ดังนั้น การคลีนชีตเกมนี้จึงน่าจะทำให้พวกเขากลับมามั่นใจ และอยู่กับร่องกับรอยอีกครั้ง
ทีนี้เรามาดูอิมแพ็คท์ใหญ่ของ ไวนัลดุม กันบ้าง มิดฟิลด์ดัตช์ถูกหลายสื่อ ทั้งสื่อท้องถิ่น และสื่อใหญ่ยกให้เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในนัดดังกล่าว
ไวนัลดุม ในเกมนี้ถูกวางในตำแหน่งเดียวกันกับของ ลัลลาน่า ในเกมก่อนนั่นแหละ คือเป็นตัวเชื่อมบอลเยื้องๆ ไปทางขวากับ โม ซาลาห์ แต่สิ่งแตกต่างก็คือ ลัลลาน่า ทำไม่ดี ผิดกับ จีนี่ ที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยม
กับ 3 มิดฟิลด์ของ คล็อปป์ ในเกมนี้ ไวนัลดุม คือคนที่ถูกวางให้บงการเกมรุกของทีม โดย ฟาบินโญ่ จะปักหลักอยู่ตรงกลาง หรือบางทีลงไปเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟ เมื่อ โฌแอล มาติป ขยับไปช่วยทางขวาขณะที่ มิลเนอร์ ลงมาเล่นเกมรับไม่ทัน
ส่วน นาบี เกอิต้า ก็ยืนปักหลักในแดนกลางเลย เพื่อซ้อนตำแหน่งของ โรเบิร์ตสัน ที่เติมสูง เราจึงสังเกตุได้ว่า เกอิต้า จะขึ้นไปช่วยเล่นเกมรุกน้อยมากในเกมนี้
อีกข้อที่สำคัญสุดสำหรับเกมนี้ก็คือ 3 ประสานในแดนหน้ากลับมาทำผลงานกันได้ครบองค์อีกครั้ง
มาเน่ ยิงได้ ซาลาห์ ยิงได้ ส่วน ฟีร์มีโน่ ก็แอสซิสต์ได้
ไม่มีใครปฏิเสธว่าซีซั่นก่อน 3 ประสานที่ว่ามานี้คือแนวรุกทีจัดจ้านที่สุดในยุโรป พวกเขามีส่วนร่วมกับประตูรวมกันถึง 91 ลูกในปี 2017-18
ทว่ากับฤดูกาลนี้ เราจะสังเกตุว่าทั้ง 3 ยิงประตูในเกมเดียวกันได้น้อยมาก โดยมีเพียง 2 นัดเท่านั้นในพรีเมียร์ลีกที่ถล่ม อาร์เซน่อล 5-1 และชนะ คริสตัล พาเลซ 4-3
แม้เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ฟีร์มีโน่ จะไม่มีชื่อบนสกอร์บอร์ด แต่กับการที่ทั้งสามมีส่วนร่วมประตูในเกมเดียวกันอีกครั้งย่อมนับเป็นนิมิตหมายอันดีต่อการลุ้นแชมป์
จากนี้ไปจนถึงจบซีซั่น ลิเวอร์พูล จะคว้าแชมป์หรือต้องผิดหวังอีกครั้งยังไม่ใครตอบได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในนัดล่าสุดมันชัดเจนแล้วว่าพวกเขายังคงพร้อมสู้เพื่อตำแหน่งนั้นที่ถวิลหามาอย่างยาวนาน
และมันต้องเล่นให้ได้อย่างนี้สิวะ!!! ถึงจะสมราคาทีมลุ้นแชมป์หน่อย
พาสต้า
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT