วันที่หงส์ป่วย
ความพ่ายแพ้เละเทะอาจไม่เหมาะกับทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ แต่หากใครคนนั้นได้รับชมตั้งแต่เสียงนกหวีดแรกของ อันเดร มาร์ริเนอร์ จนกระทั่งครบ 90 นาทีเต็มคงต้องบอกสมควรแล้วอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
จากซีซั่นก่อน หงส์แดงขึ้นชื่อมากเวลาเจอกับทีมใหญ่ด้วยกัน
เอ๊ะ... ยังเป็นอยู่ใช่ไหม ???
มาถึงฤดูกาลนี้ ทุกอย่างกลับตาลปัตรหมด จากหน้ามือ เป็นหลังตีนกันเลยทีเดียว
แถมการเจอทีมเล็กก็ไม่ได้จะพัฒนาขึ้นเลยด้วย เกมรับที่ห่วยแล้วดันห่วยกว่าเดิม ขณะที่หน้าบ้านนั้นดีแต่ป้อล่อไม่เป็น
ถ้าจะต้องให้ความหาจุดบอดอะไรที่ทำให้หงส์ติดโรคในซีซั่นนี้ต้องบอกว่า หาไม่ไหว เพราะมันเยอะมากจนไม่รู้จะเริ่มต้นจากอะไรก่อนดี
พูดถึงตัวจริงที่ออกสตาร์ทในเกมบู๊ไก่เดือยทอง มันก็ไม่ได้แปลกตาอะไรหรอก จอร์จินโย่ ไวนัลดุม มิดฟิลด์ดัตช์ดันเจ็บหัวเข่าก่อนเกมพอดีทำให้ไม่มีชื่อ แต่ เจมส์ มิลเนอร์ ที่ได้รับคำชมลั่นทุ่งในแมตช์กระซวกไส้ มาริบอร์ พร้อมแทนที่ได้
ส่วน สเปอร์ส ไม่ต้องทำอะไรให้มันยาก เดเล่ อัลลี่ กับ คริสเตียน เอริคเซ่น คอยปั้นเกม โดยมี แฮร์รี่ เคน เป็นตัวอันตราย
ใครๆ ก็รู้ถึงความร้ายกาจของหัวหอกทีมชาติอังกฤษ คล็อปป์ ก็น่าจะรู้ แนวรับของหงส์แดงก็น่าจะรู้ แต่ดันปล่อยให้ดาวยิงคลับไก่เล่นแบบสบายใจเฉิบ
คนที่พบฝันร้ายมากที่สุดคงหนีไม่พ้น เดยัน ลอฟเรน
แนวรับทีมชาติโครเอเชียอาจมีเวลาในสนามเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง
!!!
ห๊ะ...แค่ 30 นาทีจะบอกว่า ลอฟเรน เลวร้ายถึงขนาดมึงฆ่าพ่อกูแบบนั้นเลยหรอ
เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอก แค่เกือบ!!!
จาก 2 ลูกแรกทีลิเวอร์พูลเสียไปในนัดนี้ พี่ลอฟโดนหมัดน็อคไปเต็มๆ ภายในเวลาแค่ 12 นาที
ไม่ว่าจะเป็นการโหม่งสกัดบอลยาวที่วืดจนโดนล้อเอาไปเปรียบกับ วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ว่าใครว่าวสวยกว่ากัน
และอีกลูกที่ประกบไม่ดูตาม้าตาเรือจนปล่อยให้บอลมันไปจบอยู่ที่ตาข่ายตัวเอง
เขาเคยเป็นแพะมาพักใหญ่ตั้งแต่สมัยย้ายมาแล้วแจ้งดับยุค เบรนแดน ร็อดเจอร์ส พอทีมผลัดใบมาเป็น คล็อปป์ ก็เหมือนจะดีขึ้นมาบ้าง ทว่าสุดท้ายก็ลงเอยด้วยความคุ้นชินเหมือนเดิม
พอ ลอฟเรน อยู่ไม่ไหวต้องออกไป คราวนี้มองหาตัวเลือกทดแทนยังม้านั่งสำรอง รักนาร์ คลาวาน คือเซนเตอร์ฮาล์ฟคนเดียวที่เหลืออยู่ คล็อปป์ เลยเรียก อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ลงไปแทน
อะไรวะ!!!
นั่นคือเสียงสบถพร้อมสงสัยว่าทำไมถึงเปลี่ยนแบบนี้
จะว่าไปก็เข้าใจได้ เพราะตอนนั้นสกอร์ตกเป็นรองถึง 2 เม็ดแล้ว และทีมก็ต้องการมิติในแนวรุกที่เพิ่มมากขึ้น ดิ อ็อกซ์ เลยต้องลงมา แล้วขยับ โจ โกเมซ มายืนเซนเตอร์แบ็ก พร้อมถอย เอ็มเร่ ชาน มาเป็นแบ็กขวา
ฟอร์มของ อ็อกซ์เลด ในนัดนี้จะบอกว่าห่วยเลยก็คงไม่ถูก เพราะความเร็ว การลากเลื้อยริมเส้นก็สร้างความปั่นป่วนให้กับเกมรับไก่เดือยทองอยู่เหมือนกัน แค่มันไม่ต่อเนื่องเท่านั้นเอง
ส่วน โกเมซ ก็ทำหน้าที่ได้ดีตามอายุเพียง 20 ปีของเขา มันอาจไม่ดีที่สุด แต่ก็เริ่มเห็นแววได้จากไอ้หนูเด็กปั้น ชาร์ลตัน คนนี้
เขาไล่ประกบ เคน ได้ค่อนข้างน่าประทับใจในครึ่งหลัง และดูจะกล้าสำหรับการเล่นบอลด้วยเท้าไม่เบาเลย
ถ้าหาก ลอฟเรน ไม่เป็นที่เชื่อใจของแฟนๆ อีกต่อไป บางที โกเมซ นี่แหละที่จะก้าวมาเป็นทางเลือกใหม่ได้
เขาไม่ได้เป็นเด็กท้องถิ่นเหมือน เจมี่ คาร์ราเกอร์ และไม่ได้เยือกเย็น สุขุมเหมือน ซามี่ ฮูเปีย แต่พรสวรรค์ของเขาคือความรวดเร็ว และแข็งแกร่ง การถูกปรับมายืนตรงกลางอาจทำให้ โกเมซ ประหม่า และกังวลบ้างอยู่เหมือนกัน
ทว่าความแตกต่างจาก ลอฟเรน คือ โกเมซ ยังไม่ใช่คนที่ประสบการณ์เยอะ เขาน่าจะเรียนรู้ และมีแววที่จะก้าวไปไกลในเส้นทางปราการหลังตัวกลางได้
ข้อผิดพลาดนั้นมีเสมอสำหรับนักเตะเยาวชนอายุน้อยๆ แต่สิ่งเหล่านั้นจะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต
หวังว่า โกเมซ จะเป็นคนนั้นได้
แต่ที่เลวร้ายสำหรับการปรับเปลี่ยนแผนกลางคันของ คล็อปป์ ที่ชัดแจ้งติดตาไม่ต้องสืบคือลูกรักของเขา
เอ็มเร่ ชาน
หากค่ำคืนที่เวมบลีย์ของ ลอฟเรน คือฝันร้าย ของ ชาน คงเป็นการตายอย่างสมบูรณ์แบบ
ตลอดเวลาบนฟลอร์หญ้า เราแทบไม่เคยเห็น ชาน สร้างประโยชน์อะไรในแง่ดีให้ทีมได้สักวินาที ถึงขั้นที่สื่อเมืองผู้ดีเอามาปู้ยี่ปู้ยำกันสนุกมือสนานปากเลยทีเดียว
มีการชำแหละออกมาว่า ชาน คือหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้หงส์แดงต้องพังพินาศในนัดดังกล่าว โดยเฉพาะกับประตูที่สามที่เสียไป
ทั้งที่ลิเวอร์พูลกำลังตั้งเกมรุกเพื่อทวงคืนตอนสกอร์ 1-2 แต่ ชาน กลับเสียบอลกลางทางเพราะความเล่นยากของตัวเองจนหน้าตบกบาลซักป๊าบ...
จากนั้นก็ไปตัดฟาวล์ และฟรีคิกนั้นก็นำมาซึ่งสกอร์ของ อัลลี่ ตอนทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก เป็นอันส่งหงส์แดงลงหลุมแบบกู่ไม่กลับ
นัดนี้ เขามีโอกาสอยู่ในสนาม 83 นาที จนกระทั่งป้ายไฟแสดงเบอร์เสื้อที่หลังของเขาว่าจะโดน มาร์โก กรูยิช ลงมาเล่นแทน นั่นคือความสิ้นสุดการทรมานของทั้ง ชาน และบรรดาเดอะ ค็อป ด้วย
ซิมง มิโญเลต์ ก็เป็นอีกคนนึงที่น่าผิดหวังโคตรๆ แม้ช่วงหลังเราจะไม่ค่อยเห็นนายด่านเบลเยียมก่อความผิดพลาดสักเท่าไหร่ แต่นัดนี้ตรงกรอบเป็นเข้า
ขอย้ำอีกครั้งว่าตรงเป็นตุง!!!
สถิติ สเปอร์ส ยิงตรงกรอบเพียง 4 ครั้งเท่านั้น และลูกที่สี่มันคือความผิดพลาดของมินนี่คนเดียวเลย เจอแบบนั้น ลอริส คาริอุส คงได้อมยิ้มในใจกับโอกาสที่อาจหวนกลับมา
ทั้งหมดคือความผิดพลาดในเวลา 90 นาทีที่เวมบลีย์เมื่อคืนวันอาทิตย์
แต่หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่เปิดซีซั่น มันเหมือนกับภูเขาไฟที่กำลังปะทุ และปล่อยลาวาออกมาเรื่อยๆ
ถึงตอนนี้ ลิเวอร์พูล คงทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากมองไปข้างเพียงอย่างเดียว
กับนัดถัดไป จะเป็นการกลับมาเฝ้ารังพบ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ที่เพิ่งจะทำหรูเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด มาได้ในเกมล่าสุด
จะบอกว่ามันคงไม่ใช่งานง่ายของ คล็อปป์ แน่ๆ
ไล่ไปตั้งแต่การเลือกทีม
ลอฟเรน เองยังไม่รู้เลยว่าจะพร้อมกลับมาลงตัวจริงรึเปล่า หรือว่าลงแล้วจะไม่ห่วยแบบนี้หรือไม่
ขณะที่แดนกลางก็ยังเป็นที่ถกเถียงระหว่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน หรือ มิลเนอร์ ใครควรลงมากกว่ากัน หลังได้ออกสตาร์ทพร้อมหน้า แต่ฟอร์มกลับดิ่งลงเหว
ส่วน ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ก็คงแบกทีมไม่ไหวไปตลอด
มีเวลาสัปดาห์เต็มๆ ที่มีไว้ให้ คล็อปป์ แก้ไข ปรับจูนทีมของเขาให้ดีขึ้น เนื่องจากดันชิงตกรอบคาราบาว คัพ ไปแล้วเลยไม่ต้องมีโปรแกรมเล่นเหมือนทีมอื่นๆ
และสำหรับแฟนๆ ลิเวอร์พูลในช่วงที่ทีมรักฟอร์มป่วยแบบนี้ แนะนำให้หันหลังกับฟุตบอลไปหาอะไรบันเทิงเริงใจอื่นๆ ทำฆ่าเวลาไปก่อน
ถ้ามัวจมปรักจะเจอโรคเครียดเล่นงานเอาง่ายๆ
จนกว่าจะถึงสัปดาห์หน้าค่อยกลับมาว่ากันใหม่
อยู่ที่จะลงเอยด้วยความหัวร้อนแบบนี้
หรือเย็นลงเท่านั้นเอง
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT