ด้านมืดของเมสซี่
ไม่มีใครในโลกที่ดี 100% และก็คงไม่มีใครในโลกที่ชั่ว 100% เช่นกัน มันอยู่ที่ใครจะงัดด้านนั้นออกมาในเวลาไหน เมื่อไหร่ และถูกต้องหรือไม่
บาร์เซโลน่า เป็นทีมที่แทบจะยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกปัจจุบัน
นั่นคือเรื่องที่ใครต่างก็รู้กันดี
ความสามารถของพวกเขาแทบจะกวาดได้ทุกแชมป์ที่ลงแข่งขันบนโลกใบนี้
แต่!!!
นั่นไม่ใช่กับแชมเปี้ยนส์ลีก
ความปรารถนาของ บาร์ซ่า ในการไปถึงรางวัลอันแสนยิ่งใหญ่นั้นเรียกได้ว่าชัดเจนมากที่สุดเมื่อคืนวันพุธ ณ ถิ่นคัมป์ นู
และคนที่แสดงออกถึงสิ่งนั้นอย่างชัดเจนเลยก็คือ ลีโอเนล เมสซี่
กองหน้าอาร์เจนไตน์ถือเป็นคนพิเศษบนโลกลูกหนัง เขาสามารถมีส่วนร่วมทั้งเกม หรืออาจจะหายจากเกมไปตลอด 75 นาที แต่กับช่วงเวลาเพียงแค่ 15 นาทีที่เหลืออยู่ เท่านั้นก็เพียงพอให้ เมสซี่ เปลี่ยนทิศทางของเกมจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้เลยทีเดียว
ด้านเท้าซ้ายของเขา เมสซี่ แทบจะเผาผลาญความหวังในแชมเปี้ยนส์ลีกของ ลิเวอร์พูล จนไหม้เกรียมไปแล้ว ขนานเด็กหงส์ที่ว่าโลกสวยยังยอมรับความจริงไปเกินครึ่ง และนั่นหมายความว่า บาร์เซโลน่า ได้ก้าวเท้าข้างนึงไปในรอบชิงชนะเลิศได้แล้ว
มันเป็นเรื่องที่ปกติมากเลยกับการที่เราจะเห็นเขาทำประตูในเกมสำคัญ โดยเฉพาะลูกฟรีคิกปลิดวิญญาณดอกนั้น มันโคตรมหัศจรรย์ แต่มองให้ดีนั่นก็คือมาตรฐานที่เขาทำได้อยู่บ่อยๆ
แต่!!!
ค่ำคืนนั้นเรายังได้เห็นอีกมุมที่แตกต่างออกไปจาก เมสซี่ มันเป็นมุมที่ใครหลายคนแทบจะไม่เคยเห็นมาก่อนเลยก็ว่าได้
บาร์ซ่า ไม่เคยลิ้มรสความสำเร็จในแชมเปี้ยนส์ลีกมาตั้งแต่ปี 2015 โดยเฝ้ามองคู่แข่งรายสำคัญอย่าง เรอัล มาดริด ต่อยอดความสำเร็จไปเรื่อยๆ
แม้ในเวลานั้น ยอดทีมจากกาตาลันจะครองความยิ่งใหญ่ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเวทีลา ลีกา ซึ่งก็รวมถึงฤดูกาลนี้ด้วย และก็อีกรายการในถ้วยโกปา เดล เรย์
ทว่าเราก็รู้กันดีว่าอะไรที่ขาดหายไปสำหรับพวกเขา
ในช่วงปรีซีซั่นที่ผ่านมา เมสซี่ เคยพูดเอาไว้ว่า "ฤดูกาลที่ผ่านมามันดีมากเลยกับการได้ดับเบิ้ลแชมป์ แต่เราทุกคนยังรู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในแชมเปี้ยนส์ลีกอยู่เลย"
"เราสัญญาว่าซีซั่นนี้เราจะทำทุกอย่างเท่าที่สามารถจะทำได้เพื่อนำถ้วยรางวัลดังกล่าวกลับสู่ถิ่นคัมป์ นู อีกครั้ง"
"เราจะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้" คำพูดเหล่านั้นได้เกิดขึ้นจริงแล้วในเกมเมื่อคืนวันพุธ ซึ่งนอกเหนือจากสิ่งปกติในสนามแล้ว บาร์ซ่า ยังชนะเลิศในทุกด้าน
จะว่าไปตามที่เราเคยเห็น เมสซี่ เองก็คล้ายๆ กับ เอแด็น อาซาร์ ที่มักจะโดนหวด โดนกระแทกร่วง และลุกขึ้นมาตั้งหน้าตั้งตาเล่นต่อไม่ว่าจะล้มหงายมากกว่า 70 ครั้งตลอดทั้ง 90 นาทีก็ตาม
แต่ในค่ำคืนวันพุธนั้นมันแตกต่างออกไป
บางที แรงบัลดาลใจของเขาอาจมาจากการเล่นละครอย่างไม่หยุดยั้งของ หลุยส์ ซัวเรซ เราจึงได้เห็น เมสซี่ กลิ้งตัว หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ตลบหลังจากโดน เจมส์ มิลเนอร์ กระแทกในช่วงครึ่งแรก
บางที มิลเนอร์ อาจกำลังหาทางแก้แค้นจากการโดน เมสซี่ แตะ 'ลอดดากส์' อย่างน่าอายเมื่อ 4 ปีก่อน
แต่เอาจริงๆ เมสซี่ เองก็มารยาเกินไปหน่อยก่อนที่จะโบกมือหยอยๆ ฟ้อง บียอร์น ไคเปอร์ส ผู้ตัดสินฮอลแลนด์เหมือนเด็กหน้าห้องโดนเพื่อนแกล้ง
จากนั้น ชายผู้ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกลูกหนังก็แสดงมาดของความมืดให้เห็นด้วยการมองไปที่กล้องซึ่งใกล้ที่สุด และแสยะยิ้มที่ใบหน้า ถ้าจะให้สมบูรณ์แบบกว่านี้เจ้าตัวน่าจะขยิบตาด้วยทีนึงก็จะครบสูตรเลย
ในครึ่งหลังก็ไม่ต่างกัน
หลังจากที่ ฟาบินโญ่ ไปยืนขวางทาง เมสซี่ ดาวเตะอาร์เจนไตน์ก็สวมบท 'ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์' ออกหมัดไปที่หน้าของแข้งบราซิเลี่ยนอย่างหงุดหงิด
เหตุการณ์นั้นไม่มีใครสังเกตุเห็นแม้แต่เจ้าหน้าที่ประจำการแข่งขันจน ฟาบินโญ่ ร่วงไปกองที่พื้นกลายเป็นขวางทางวิ่งของ เมสซี่ จนเสียฟาวล์ และเพียงไม่กี่อึดใจต่อมาดาวเตะอาร์เจนตินาก็ใช้ทริกขยับบอลกินแดนมากว่า 5 หลาแล้วซัดฟรีคิกลูกฉมังตุงตาข่าย
ดาวเตะวัย 31 ปีวิ่งไปฉลองกับแฟนๆ บาร์ซ่า ซึ่งก้มหัวเคารพพระเจ้าของเขาอีกครั้ง
นี่คือ เมสซี่ เวอร์ชั่น 4.0 ที่ข้ามขั้นความสามารถที่เขาเคยทำไปอีก
มันคงเป็นขีดสุดที่เขาตั้งใจจะพาทีมไปถึงนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกให้ได้
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เซร์คิโอ รามอส เคยแสดงด้านมืดให้เห็นมาแล้วในช่วงที่ เรอัล มาดริด ยังครองเจ้ายุโรปมาติดต่อกัน
เมสซี่ เองก็ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์อีกต่อไปแล้วหากพูดถึงเรื่องความสามารถ
แต่การที่คุณจะประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด บางทีความสามารถอย่างเดียวมันอาจไม่พอ
เราจึงได้เห็น 'ด้านมืด' ของ เมสซี่ พร้อมๆ กับ ลิเวอร์พูล
พาสต้า
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT