บทพิสูจน์ของไอ้หนูบรูว์สเตอร์
หัวหอกวัย 19 ปีเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 2018-19, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ปี 2019 และยู-17 ชิงแชมป์โลก ในปี 2017
บรูว์สเตอร์ ยิงไปถึง 24 ประตู จาก 30 เกมที่ลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษระดับเยาวชนไล่ขึ้นมาตั้งแต่ชุดยู-16 ไปจนถึงยู-21 ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาคือการเตะมากพรสวรรค์อย่างแท้จริง เมื่อเทียบกับบรรดาแข้งอายุที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน
หลายคนอาจรู้กันอยู่แล้ว ว่า บรูว์สเตอร์ ไม่ใช่เด็กที่เติบโตจากอะคาเดมี่ของ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่แรก เขาตัดสินใจย้ายจาก เชลซี มาพัฒนาต่อกับหงส์แดง เมื่อปี 2014 หลังจากใช้เวลาถึง 6 ปีในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ พร้อมกับความคาดหวังในระดับสูง
ทว่าตอนนี้อย่าเพิ่งไปพูดถึงดีกรีแชมป์ หรือถ้วยรางวัลอะไรเลย บรูว์สเตอร์ ยังไม่เคยลงเล่นในพรีเมียร์ลีกแม้แต่นาทีเดียว
บรูว์สเตอร์ เพิ่งจะได้ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล ไปเพียง 90 นาทีเท่านั้นในเกมบอลถ้วยคาราบาว คัพ เช่นเดียวกับพวกดาวรุ่งอย่าง คี-ยาน่า ฮูเวอร์, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ และ เคอร์ติส โจนส์
จริงๆ แล้วเขาอาจจะได้รับโอกาสที่เร็วกว่า และมากกว่านี้ แต่ด้วยอาการบาดเจ็บหนักจากการเล่นให้หงส์แดงชุดยู-23 ในเกมที่พบกับ แมนฯ ซิตี้ เมื่อเดือนมกราคม ปี 2018 นั้นคืออุปสรรคที่ขัดขวางช่วงเวลาที่ บรูว์สเตอร์ ในการลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่
แต่เราก็หลีกหนีความจริงที่ว่าเขามีหนึ่งในนักเตะหมายเลข 9 ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุโรปอย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ขวางทางอยู่ไปไม่ได้ ขณะที่ ดิว็อก โอริกี้ ก็ดันมาทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนใจเก็บไว้กับทีมอีกทั้งที่ทีแรกเหมือนว่าจะหมดอนาคตไปแล้ว
นั่นหมายความว่าการที่ บรูว์สเตอร์ จะได้ออกสตาร์ทให้กับ ลิเวอร์พูล แบบปกติก็คือนักเตะคนอื่นๆ ต้องมีอาการบาดเจ็บ หรือฟอร์มตก และต้องการโชคเข้ามาผสมด้วย
พอมองหันกลับไปดูถึงความเร็วที่เพิ่มขึ้นในโครงการขับเคลื่อนนักเตะเยาวชนของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่ เชลซี มันทำให้อดคิดไม่ได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับ บรูว์สเตอร์ หากเวลานี้เขายังคงค้าแข้งอยู่ในลอนดอน
อย่างไรก็ตาม หากคุณจะมองว่านั่นคือความผิดพลาดของ บรูว์สเตอร์ ก็คงจะเป็นเรื่อไม่ถูกต้อง เพราะการย้ายออกจากสิงห์บลูส์มายังหงส์แดงในเวลานั้นเป็นอะไรที่เข้าใจได้ เนื่องจาก เชลซี มีสถิติที่แย่เหลือเกินสำหรับนักเตะดาวรุ่งที่จะทะลุขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่
แต่กับปัจจุบัน มันเหมือนสวรรค์บันดาลให้เกิดช่วงเวลาของเหล่าแข้งอายุน้อยในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เหตุเพราะการโดนแบนห้ามซื้อนักเตะใหม่ของพวกเขา มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ แลมพาร์ด จะหันไปหาดาวรุ่งที่พร้อมฉายแสง และผลักดันพวกเขาอย่างเต็มที่ โดยที่ บรูว์สเตอร์ ก็เคยเป็นหัวโจกอยู่ที่นั่น
ภาพที่ถูกโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย โดยผู้ช่วยโค้ชในทีมชุดแรกปัจจุบันของ เชลซี อย่าง โจ เอ็ดเวิร์ดส์ นั้นมีรูปของ มาร์ค เกฮี และ รีซ เจมส์ ซึ่งทั้งคู่ก็เป็นส่วนหนึ่งของเกมที่ถล่ม กริมสบี้ 7-1 เช่นเดียวกับ บรูว์สเตอร์
เนื่องด้วยการต่อสู้ในตำแหน่งแบ็กขวาที่ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ที่ไม่เคยมีมาอย่างยาวนาน เร็วๆ นี้เราอาจได้เห็น เจมส์ เปิดตัวในพรีเมียร์ลีกแน่ และอันที่จริง เรื่องนั้นควรต้องเกิดขึ้นกับ บรูว์สเตอร์ ก่อนมากกว่า
https://twitter.com/JoeEdwards86/status/1176970253034827777
เวลานี้ นักเตะจากอะคาเดมี่อย่าง แทมมี่ อบราฮัม, เมสัน เมาท์ และ ฟิคาโย่ โทโมรี่ ก็เริ่มจากศูนย์ไปสู่ความแข็งแกร่งภายใต้การคุมทัพของ แลมพาร์ด ในขณะที่วัยรุ่นอย่าง บิลลี่ กิลมอร์ ซึ่งได้รับคำชมจาก เชส ฟาเบรกาส อย่างมากในเกมกับ กริมสบี้ ก็มีโอกาสประเดิมเกมพรีเมียร์ลีกไปแล้ว
แน่นอนว่าไม่มีอะไรรับประกันว่า บรูว์สเตอร์ จะอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่านี้หากเขายังอยู่ที่ เชลซี
ฟอร์มของ อบราฮัม ที่ยิงไป 7 ประตูจาก 7 นัดแรกที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้แสดงให้เห็นว่าอุปสรรคที่เขาต้องฝ่าฟันมานั้นยากเพียงใดกว่าจะกลายเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญของสิงห์บลูส์
ค่อนข้างชัดเจนว่า คล็อปป์ ประเมินค่าของ บรูว์สเตอร์ ไว้ค่อนข้างสูง เมื่อเขาเป็นคนยับยั้งไม่ให้หัวหอกดาวรุ่งรายนี้ย้ายทีมออกไปแบบยืมตัวในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล
แต่ไม่ว่าจะกรณีไหน สิ่งเดียวที่จะเป็นคำตอบได้ดีที่สุดว่าการที่เขาตัดสินใจย้ายออกจาก เชลซี มายัง ลิเวอร์พูล ในวันนั้นเป็นเรื่องที่ถูกหรือผิด
บรูว์สเตอร์ จะต้องเป็นคนพิสูจน์มันด้วยตัวเอง
พาสต้า
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT