ทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ที่สนามวิคาเรจ โร้ด พากันฉลองกับประตูของ ทรอย ดีนี่ย์ จากเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา นั่นทำให้โครงการไร้พ่ายของ ลิเวอร์พูล หายวับไปกับตา เมื่อเขาเอาชนะเซนเตอร์แบ็กดีที่สุดในโลก และส่วนหนึ่งจากความผิดพลาดของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
เราแทบจะไม่เคยเห็นแข้งดัตช์ออกลูกเหวอหนักขนาดนี้เลยตลอดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มันรวมไปถึงฟอร์มแย่ๆ จากทั้งทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ด้วย
กระนั้น หงส์แดงก็ยังคงนำเป็นจ่าฝูงของพรีเมียร์ลีกอยู่ด้วยคะแนนที่นำห่างถึง 22 แต้ม
จากมุมมองตามความเป็นจริง พวกเขาก็ยังคงมีโอกาสเป็นแชมป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลเมืองผู้ดี
กองกำลังของ คล็อปป์ ยังมีลุ้นที่จะจบซีซั่นด้วยการเป็นแชมป์ลีกที่มีคะแนนมากกว่าทีมแชมป์ที่เคยมีมา และอาจเป็นทีมที่ชนะมากที่สุดด้วย
แต่นั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์ที่ใครหลายคนมองเข้ามาในตอนนี้
กีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกกำลังถูกเหยียดหยามจากอารมณ์ ความคิดเห็น และความรัก
การลงเล่นเกมพรีเมียร์ลีก 38 นัดด้วยการไร้พ่ายมันไม่ได้ทำกันง่ายๆ และมันก็ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง
ย้อนกลับไปปี 2003-04 อาร์เซน่อล ของ อาร์แซน เวนเกอร์ ทำในสิ่งที่ไม่มีสโมสรในอังกฤษทำได้มาก่อนเลยตั้งแต่ที่ เปรสตัน ในปี 1888-89 ไม่แพ้เลยตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลจนกระทั่งถึงวันปิดซีซั่น
มันเป็นสิ่งที่ยากเหลือเกิน และความสำเร็จนี้ของพวกเขาก็ควรได้รับเกียรติ โดยตอนนี้ เปรสตัน ไม่แพ้ใครในลีกจากโปรแกรมที่มีการแข่งขันเพียง 22 นัด
อย่างไรก็ตาม ความเคารพที่แนบมาพร้อมความสำเร็จดังกล่าวค่อนข้างขัดแข้งกับกลไลพื้นฐานของการเล่นฟุตบอลลีก
หากเรามองให้มันถูกต้องจริงๆ การคว้าแชมป์ลีกไม่ได้เกิดขึ้นกับทีมที่แพ้น้อยที่สุด แต่มันเป็นทีมที่สะสมแต้มได้มากที่สุดต่างหาก
ในทางทฤษฎีแล้ว ทีมที่ไม่แพ้เลยตลอดทั้งฤดูกาลก็สามารถตกชั้นได้เหมือนกันหากพวกเขามีผลเสมอทุกนัดที่ลงสนาม
ตัวอย่างชัดเจนที่สุดเกิดขึ้นในอิตาลี เมื่อปี 1978-79 เมื่อ เปรูจา จบฤดูกาลในเซเรีย อา โดยไม่แพ้ใครเลยทั้งซีซั่น แต่แชมป์ลีกกลับตกเป็นของ เอซี มิลาน ที่แม้จะมีแพ้บ้าง แต่ก็เก็บแต้มได้มากกว่า
แต้มที่มีประโยชน์มากที่สุดก็คือคะแนนที่มาจากชัยชนะ ไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งแต้มจากผลเสมอ ดังนั้นทีมที่ดีกว่าจะเป็นทีมที่สามารถไล่ล่าตามหาชัยชนะได้มากที่สุดแทนที่จะเป็นการหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้
อาร์เซน่อล ในปี 2003-04 นั้นเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก อันนี้ไม่มีใครเถียง (90 แต้ม) แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตุว่ามีอีกถึง 7 สโมสรที่สะสมคะแนนได้มากกว่าพวกเขาในปีนั้นจากการลงเล่นครบ 38 เกมเท่านั้น
- แมนฯ ยูไนเต็ด (1999-00) 91 แต้ม
- เชลซี (2004-05) 95 แต้ม
- เชลซี (2005-05) 91 แต้ม
- เชลซี (2016-17) 93 แต้ม
- แมนฯ ซิตี้ (2017-18) 100 แต้ม
- แมนฯ ซิตี้ (2018-19) 98 แต้ม
- ลิเวอร์พูล (2018-19) 97 แต้ม (รองแชมป์)
ลิเวอร์พูล ในตอนนนี้ (2019-20) ยังคงมีแนวโน้มที่จะเดินหน้าถึงเดือนพฤษภาคมด้วยการมีแต้มมากกว่าใครในประวัติศาตร์ลูกหนังเมืองผู้ดี
แต่คุณเคยได้ยินใครบอกไหมล่ะว่าทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ นั้นเป็นทีมที่ดีกว่า อาร์เซน่อล ยุค ดิ อินวิซิเบิ้ลส์
???
ตอบให้ตรงนี้เลยก็ได้ 'ไม่เคย'
มันเป็นค่านิยม หรือแนวคิดที่ว่าการไม่แพ้ใครคือการเพิ่มมูลค่าที่ไม่มีใครเทียบให้กับทีม
ในโลกของฟุตบอลอันแสนวุ่นวาย และคาดเดาอะไรไม่ได้ ความพ่ายแพ้เองก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับทีมที่ดีที่สุดเช่นเดียวกัน
ความพยายามที่จะเป็น อินวิซิเบิ้ลส์ ของ ลิเวอร์พูล ต้องจบลงที่วิคาเรจ โร้ด เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
หงส์แดงเอาชนะไปแล้ว 26 จาก 28 นัดในลีกฤดูกาลนี้ มันเป็นสถิติที่น่าเหลือเชื่อใช่ไหมล่ะ...
ผลการแข่งขันที่น่าตกใจเมื่อสุดสัปดาห์กลายเป็นว่า ลิเวอร์พูล ไม่ได้เป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ หรือประสบความสำเร็จเท่ากับ อาร์เซน่อล ในปี 2003-04
ตามความรู้สึกที่อะไรหลายอย่างชี้นำไปในทิศทางนั้น การที่คุณจะถูกยอมรับว่ายิ่งใหญ่ มันกลายเป็นว่าคุณต้องห้ามแพ้ซะอย่างงั้น
หากมองกันให้ดี หงส์แดงในตอนนี้สามารถพาตัวเองเข้าไปเป็นหนึ่งในทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุด เก็บแต้มได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์
ดังนั้นดูเหมือนการที่คุณดิสเครดิตทีมของ คล็อปป์ และ เชลซี ของ คอนเต้ นั้นดูจะไม่ยุติธรรมสำหรับพวกเขาสักเท่าไหร่
พวกเขาสมควรที่จะถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ของความยิ่งใหญ่ การมีโอกาสทำลายสถิติเก็บแต้มมากที่สุดของ แมนฯ ซิตี้ นั้นไม่ควรที่จะมีอะไรที่ด้อยกว่าการทำผลงานไร้พ่ายเหมือนกับปืนใหญ่ในปี 2003-04 เลย
แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ปี 1998-99 ด้วยการมี 79 คะแนน ซึ่งขณะนี้หงส์แดงเองก็ทำแต้มได้เทียบเท่าผีแดงไปแล้ว ขณะที่ยังเหลือการแข่งขันทั้งหมดอีกถึง 10 นัด
โอเค ความยิ่งใหญ่ของ อาร์เซน่อล ในยุคไร้พ่ายซึ่งอยู่ยงคงกระพันมาจนถึงปัจจุบันยังไงก็ต้องยกขึ้นหิ้งให้เป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของวงการลูกหนังเมืองผู้ดี
แต่กับ ลิเวอร์พูล ปัจจุบันนี้ พวกเขาเองก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษในแบบของพวกเขาเช่นเดียวกัน
มันก็เป็นเพียงแค่หนึ่งความพ่ายแพ้ตามวัฏจักรลูกหนังเท่านั้นเอง
พาสต้า
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT