วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ ของดีข้างหลังฉาก
โอเค มันชัดเจนว่าฟุตบอลเป็นกีฬาประเภททีมที่ต้องเล่นกัน 11 คน แต่มันก็มีไม่น้อยที่แค่องค์ประกอบเดียวก็สามารถเปลี่ยนผลการแข่งขันได้เลย
หลักฐานเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกมาเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วกับศึกแมนเชสเตอร์ดาร์บี้ เมื่อเราได้เรา แมนฯ ซิตี้ เดินหน้าครองบอลบุกเข้าใส่แทบจะฝ่ายเดียว แต่พวกเขาเหมือนจะขาดบอลสุดท้าย ซึ่งนั่นคือเครื่องหมายการค้าของ เควิน เดอ บรอยน์
เมื่อไม่มีดาวเตะเบลเยียม มันก็ไม่มีลูกครอสที่อันตราย ลูกผ่านทะลุช่องงามๆ ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จึงเหมือนถูกข้อจำกัดไว้ให้เล่นเพียงเท่านี้แม้จะครองบอลเป็นส่วนใหญ่เหนือ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ตามที
ถัดมาในคืนวันจันทร์ที่แล้ว นั่นก็คืออีกตัวอย่างที่ชัดเจน เมื่อ เลสเตอร์ สามารถควานหาชัยชนะที่ท่วมท้นที่สุดนับตั้งแต่พวกเขาถล่ม เซาธ์แฮมป์ตัน ขาดลอย 9-0
วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ กลับมามีชื่อเป็นตัวจริงอีกครั้ง หลังหายหน้าไปถึง 8 เกม ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาคืนฟอร์มเก่งเอาชนะ แอสตัน วิลล่า 4-0 และเขาก็มีสถิติแย่งบอลกลับมาครอง และตัดบอลได้มากกว่าทุกคนในสนาม
มิดฟิลด์ทีมชาติไนจีเรียใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการรักษาตัวในช่วงสัปดาห์หลังๆ ซึ่งฟอร์มการเล่นของเขาก็เหมือนกับถูกลิมิตไว้ในฐานะตัวสำรองในเกมพบ เวสต์แฮม และ นอริช
ที่แคร์โรว์ โร้ด การลมาของเขาในนาทีที่เกือบ 70 ดูจะสายเกินไปที่จะสร้างอิมแพ็คท์ให้ทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ทั้งที่กำลังลุ้นโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีก ก่อนที่จะพ่ายแพ้ให้กับว่าที่ทีมตกชั้นไปในที่สุด
ย้อนกลับไปอีกในเกมกับ เวสต์แฮม เขาถูกเปลี่ยนตัวลงมาในช่วงพักครึ่ง และนำทัพจิ้งจอกคว้าชัยนัดแรกในรอบ 3 เกม ตั้งแต่บุกถล่ม นิวคาสเซิ่ล 3-0 ซึ่งนัดที่เซนต์ เจมส์ พาร์ค นั้นคือการออกสตาร์ทตัวจริงหนล่าสุดของเขาก่อนที่จะถึงเกมเมื่อคืนมันเดย์ไนท์ที่ผ่านมา
ผลงานที่ห่วยลงของ เลสเตอร์ นั้นควบคู่ไปกับการที่พวกเขาไม่มี เอ็นดิดี้ ในทีม
กับการที่ต้องไร้ห้องเครื่องไนจีเรียไป พวกเขาแพ้ทั้ง เซาธ์แฮมป์ตัน และ เบิร์นลี่ย์ ก่อนที่จะเสียแต้มให้กับทั้ง เชลซี, วูล์ฟส์ และ แมนฯ ซิตี้ อีกด้วย
สถิติจากอ็อปต้ายืนยันชัดเจนว่าดาวเตะวัย 23 ปีมีความสำคัญต่อทีมของ บีร็อด มากแค่ไหน โดยพวกเขาจะมีค่าเฉลี่ยชนะถึง 65.2% ในลีกปี 2019-20 ขณะที่หากไม่มีเขาแล้วตัวเลขนั้นลดลงเหลือเพียงแค่ 16.7% เท่านั้น
แม้เขาจะหายหน้าไปจากสนามราวครึ่งโหล แต่จนถึงตอนนี้ก็มีนักเตะแค่ 2 คนเท่านั้นที่มีสถิติเข้าแท็คเกิ้ลมากกว่า เอ็นดิดี้ ในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ ซึ่งก็คือ ริคาร์โด้ เปเรยร่า และ อารอน วาน-บิสซาก้า
เนื่องจากคุณเองก็รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นมิดฟิลด์เชิงรับ และเก่งเรื่องเกมป้องกัน คุณจึงอาจคิดว่าปัญหาของทัพจิ้งจอกก็มาจากเกมรับ
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่ยิ่งใหญ่กว่าเมื่อไม่มี เอ็นดิดี้ กลับกลายเป็นเรื่องของเกมรุกซะงั้น
ด้วยค่าเฉลี่ยแล้ว ทัพจิ้งจอกจะเสียประตู 0.9 ลูกต่อเกม เมื่อมี เอ็นดิดี้ ในทีม ซึ่งเทียบกันแล้วพวกเขาจะเสียเพิ่มอีกเล็กน้อยแค่ 1.3 ลูกต่อเกมเมื่อไม่มีเขา
แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ เลสเตอร์ มีค่าเฉลี่ยยิงได้ตั้ง 2.3 ลูกต่อเกม เมื่อมีดาวเตะไนจีเนียในทีม และจะยิงได้แค่ 1 ประตูต่อนัดเท่านั้นหากไร้เขา
นั่นบ่งบอกได้ชัดเจนเลยว่าการที่มีเขาปรากฎตัวอยู่กลางสนามจะทำให้ทีมมีสมดุลมากขึ้น ขณะที่ ฮัมซ่า เชาดูรี่ และ น็อมปาลีส เมนดี้ ยังเทียบไม่ติดเลย
ด้วยความเก่งที่เขาแย่งบอลกลับมาครอง การแท็คเกิ้ล และการตัดบอล อย่างไม่น่าเชื่อ มันทำให้ทีมมีการครองบอลที่มากขึ้น และมีโอกาสงามๆ ในการเล่นเกมโต้กลับ
การคัฟเวอร์แดนกลางของ เอ็นดิดี้ ทำให้ ยูริ ตีเลมันส์ และ เจมส์ แมดดิสัน สามารถเล่นได้อย่างอิสระมากขึ้น ทำให้ ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ เข้ามาอยู่ในเกมมากขึ้น และที่สุดแล้วก็ได้ประโยชน์สูงสุดจาก เจมี่ วาร์ดี้ อีกด้วย
เราได้เห็นถึงความเก่งกาจ ความฉลาดในการเล่นของแต่ละแข้งในทัพจิ้งจอกมากมายในฤดูกาลนี้ แต่ทุกอย่างมันเริ่มต้นมาจากดาวเตะหมายเลข 25
หลายคนอ้างว่า เอ็นดิดี้ เป็นหนึ่งในนักเตะที่โดนประเมินค่าต่ำกว่าจริงมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก
แต่มีใครที่ดูถูกเขาได้บ้างล่ะ?
ด้วยฟอร์ม และผลงานอันยอดเยี่ยมของ เลสเตอร์ ในฤดูกาลนี้จะดึงดูดความสนใจจากบรรดาบิ๊กทีมในยุโรปอย่างไม่ต้องสงสัย ขณะที่แมวมองทั้งหลายก็คงไม่พลาดที่จะเห็นถึงอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของ เอ็นดิดี้
ถ้าทัพจิ้งจอกยังต้องการต่อยอดความประทับใจในการทำทีมแบบเต็มซีซั่นครั้งแรกของ ร็อดเจอร์ส ในถิ่นคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม
งานสำคัญที่สุดของเขาก็คือต้องรั้ง เอ็นดิดี้ เอาไว้ต่อไปให้ได้
พาสต้า
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT