:::     :::

เวย์น รูนี่ย์ : จบ 19 ปีเพื่อเดินหน้าใหม่

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2564 คอลัมน์ ในกะลาครอบ โดย พาสต้า
1,836
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ตำนาน แมนฯ ยูไนเต็ด และทีมชาติอังกฤษอย่าง เวย์น รูนี่ย์ ได้ประกาศหันหลังให้กับอาชีพค้าแข้งอันโด่งดังตลอด 19 ปีของเขาอย่างเป็นทางการแล้วพร้อมด้วยสถิติต่างๆ มากมาย

    รูนี่ย์ วัย 35 ปี ยังคงรั้งตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของทีมชาติในปัจจุบันที่จำนวน 53 ประตู และก็ยังเป็นดาวยิงสูงสุดของ ผีแดง ด้วยที่ตัวเลข 253 ลูก

    ตอนนี้เขาถูก ดาร์บี้ แต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมแบบเต็มตัว หลังก่อนหน้านี้ทำหน้าที่ในตำแหน่งนักเตะ ควบโค้ช นับตั้งแต่ที่ย้ายมาจาก ดีซี ยูไนเต็ด ในเมเจอร์ลีก เมื่อปีก่อน โดยลงสนามให้ แกะเขาเหล็ก ไป 35 นัด

    กองหน้าที่เกิดในเมอร์ซี่ย์ไซด์เริ่มต้นอาชีพด้วยการเล่นให้ทีมเชียร์ในวัยเด็กอย่าง เอฟเวอร์ตัน และสร้างชื่อบนเวทีใหญ่ได้อย่างอลังการ

    ด้วยวัย 16 ปี 360 วัน เขายิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีกได้ในเกมที่ ทอฟฟี่ พบ อาร์เซน่อล เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2002 ซึ่งนั่นทำให้เขากลายเป็นแข้งอายุน้อยที่สุดที่ยิงได้ในประวัติศาสตร์รายการนี้

    เราทุกคนน่าจะยังคงจำได้ดี

    สเวน-โกรัน อีริคส์สัน ได้มอบหมวกทีมชาติชุดใหญ่ใบแรกให้กับ รูนี่ย์ ขณะที่เขามีอายุเพียงแค่ 17 ปี เท่านั้นในปีถัดมา

    ไม่น่าเชื่อ วัยรุ่นในวันนั้นได้สร้างเซอร์ไพรส์ในยูโร 2004 ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์ใหญ่ครั้งแรกของเขา พร้อมความหวังที่จะหยุดฝันร้ายไร้โทรฟี่ยาวนาน 38 ปีของพลพรรค สิงโตคำราม

    อย่างไรก็ตาม ตัวเขา และทีมชาติอังกฤษก็ต้องตกรอบก่อนรองชนะเลิศ หลังพ่ายให้กับ โปรตุเกส ในการดวลจุดโทษ

    ด้วยฟอร์มที่แจ้งเกิดได้อย่างสุดยอดในเวทีนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด กล้าทุ่มเงินถึง 27 ล้านปอนด์ คว้าตัวเขามาสู่ทีม ซึ่งถือเป็นการทำลายสถิติค่าตัวแพงที่สุดของแข้งวัยทีนเอจด้วย

    รูนี่ย์ ประสบความสำเร็จอย่างมากในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และเป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่ยิงให้ ผีแดง ได้มากกว่า 250 ประตู ทำลายสถิติของ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ในปี 2017

    เขาร่วมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก กับ ยูไนเต็ด 5 สมัย และก็พ่วงด้วยแชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2008 ด้วย

    ในปี 2017 เขารีเทิร์นกลับไปยังบ้านเก่าอย่าง เอฟเวอร์ตัน ก่อนที่จะย้ายไปลุยเมเจอร์ลีก กับ ดีซี ยูไนเต็ด ในปี 2018

    รูนี่ย์ เองคงจะรู้สึกเศร้าที่เขาไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างในสีเสื้อทีมชาติได้แบบตอนยูโร 2004 และจุดด่างพร้อยของเขาก็คือการโดนไล่ออกในเวทีฟุตบอลโลกนัดพบ โปรตุเกส เมื่อปี 2006

    อย่างไรก็ตาม หากนับในเรื่องของสถิติเขาก็ยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดของพลพรรค ทรี ไลออนส์ ด้วยการตะบันไป 53 ลูก

    นอกจากนี้ 'รูน' ก็ยังครองสถิติลงสนามรับใช้ทีมชาติอังกฤษมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ที่จำนวน 120 นัด เป็นรองเพียง ปีเตอร์ ชิลตัน ที่มากกว่า 5 เกมแค่คนเดียว

    รูนี่ย์ มีเส้นทางค้าแข้งที่เหมือนรถไฟเหาะ ซึ่งเขาก็ขึ้นสุด และลงต่ำอยู่หลายครั้ง รวมถึงใบแดงที่ได้รับจากการพบ โปรตุเกส หลังโดนเล่ห์เหลี่ยมของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เพื่อนร่วมทีม ผีแดง ของเขา

    โรนัลโด้ ถูกภาพช้าจับได้ว่าขยิบตาให้กับเพื่อนร่วมทัพ ฝอยทอง หลังจากสามารถส่ง รูนี่ย์ คู่หูในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ออกจากสนามได้ในวันนั้น

    แต่ทั้งคู่ก็สานสัมพันธ์กันใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และพา ผีแดง คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้ในฤดูกาลถัดมา

    เมื่อสะท้อนถึงเหตุการณ์นั้น รูนี่ย์ กล่าวว่า "ผมรู้ว่ามันเป็นใบแดง"

    "ผมเดินกลับไปห้องแต่งตัว ผมนั่งดูเกมที่เหลืออยู่ทางทีวีเล็กๆ และคิดไปด้วยว่า 'ถ้าเราชนะเกมนี้ ผมต้องโดนแบนในรอบตัดเชือกฟุตบอลโลก และรอบชิงด้วย และถ้าเราแพ้ผมคงโดนด่า"

    "มันโคตรแย่ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดบอกไม่ถูก ผมถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือ และก็ได้รับข้อความจาก โรนัลโด้"

    "แน่นอนว่าตอนที่เขาวิ่งเข้าไปขอ เอลิซอนโด้ (ผู้ตัดสิน) เพื่อให้ไล่ผมออกผมผลักเขาออกไป"

    "ในเวลานั้นผมไม่อยากเชื่อสิ่งที่เขาทำ แต่เมื่อนั่งอยู่ในห้องแต่งตัวมันทำให้ผมสงบลง และมีเวลาคิด"

    "ผมลองนึกว่าตัวเองเป็น โรนัลโด้ แล้วผมจะทำเหมือนกันไหม? ไม่แน่ก็อาจจะทำ"

    "ผมจะไปยืนต่อหน้าผู้ตัดสินเพื่อทำให้แน่ใจว่าเขาจะไล่ออกไหม? ถ้าเขาสมควรโดนใบแดง ถ้ามันช่วยให้เราชนะ ใช่ ไม่ต้องสงสัยเลย"

    เช่นเดียวกับจุดตกต่ำ รูนี่ย์ ยังคงเดินหน้าต่อไป รวมถึงการทำประตูที่โดดเด่นจดกลายเป็นที่พูดถึง และน่าจดจำ

    ลูกยิงโอเวอร์เฮดคิกของเขาในเกมพบคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง แมนฯ ซิตี้ ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ก ในปี 2021 ถือเป็นประตูที่ดีที่สุดตลอดกาลของเขา

    ไม่แค่นั้น เขายังสามารถยิงได้จากครึ่งสนาม ซึ่งแฟน เวสต์แฮม น่าจะเจ็บช้ำมากที่สุด เพราะโดน รูนี่ย์ เล่นงานจากรูปแบบนั้นถึง 2 ครั้งทั้งในสีเสื้อ แมนฯ ยูไนเต็ด และ เอฟเวอร์ตัน

    เขายิงเกือบครึ่งสนามหนึ่งลูกในเกมที่ ผีแดง เอาชนะ 2-0 ที่อัพตัน พาร์ค เมื่อปี 2014 และเขาก็ทำแบบเดียวกันในตอนอยู่ ทอฟฟี่ เมื่อปี 2017 ซึ่งก็เอาชนะ เดอะ แฮมเมอร์ส 4-0 ที่กูดิสัน พาร์ค

    กระนั้น รูนี่ย์ ก็ไม่ได้หยุดทำให้กองเชียร์ต้องตกตะลึงเพียงเท่านั้น เขายังทำมันได้อีกต่อหน้าต่อตาแฟนๆ ที่อเมริกา ด้วยการซัดจากแดนตัวเองผ่านมือผู้รักษาประตู ออร์แลนโด

    เดวิด มอยส์ กุนซือ เวสต์แฮม ในปัจจุบันเป็นคนให้โอกาสแรกกับ รูนี่ย์ ตอนวัย 16 ปี ที่ เอฟเวอร์ตัน รวมถึงยังเคยกลับไปร่วมงานกันอีกครั้งในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

    "ผมรู้จักเขาตั้งแต่ยังเด็ก และเขาเป็นดาวรุ่งอายุน้อยที่ยอดเยี่ยม คนที่เราสามารถทึ่งกับความสามารถของเขาเมื่อเทียบกับอายุ"

    "จากเด็ก 16 ปีในวันนั้น เราเปิดตัวเขา และทุกคนก็รู้จักเส้นทางของเขานับแต่นั้น ดาวซัลโว แมนฯ ยูไนเต็ด, ดาวซัลโวทีมชาติอังกฤษ เขามีเส้นทางค้าแข้งที่น่าเหลือเชื่อ"

    "ถ้าเขาเลือกที่จะหยุดเล่น ผมมั่นใจว่ามันจะเป็นไปด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง และเพราะว่าเขาต้องการทำหน้าที่ผู้จัดการทีมกับอนาคตของตัวเอง"

    "ตอนนี้เขากำลังเข้าสู่โลกที่แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง และไม่ใช่ว่านักเตะที่ดีที่สุดทุกคนจะกลายมาเป็นผู้จัดการทีมที่ดีที่สุด"

    "แต่ความรักในเกมการแข่งขันของ เวย์น แรงผลักดัน ทัศนคติของเขา จะทำให้เขามีโอกาสประสบความสำเร็จทุกเมื่อ"

    แน่นอน รูนี่ย์ มีเส้นทางที่น่าทึ่งตลอด 19 ปีที่เข้าใช้ชีวิตกับคำว่านักฟุตบอลอาชีพ จากนี้ไปเขาก็จะได้เริ่มชีวิตใหม่อีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีม

    เขาจะประสบความสำเร็จได้เหมือนสมัยยังวาดลวดลายบนฟลอร์หญ้าได้หรือไม่ เวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบ

    พาสต้า


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})