:::     :::

อีหรอบเดิม

วันพุธที่ 24 มกราคม 2561 คอลัมน์ ในกะลาครอบ โดย พาสต้า
3,937
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
บนโซฟาที่บ้านหลังหนึ่ง ขณะนั่งฟังเพลงร็อคคลาสสิกแบบเพลินๆ พร้อมในมือที่ยกแก้วเบียร์มาจิบแบบชิลๆ

    แต่สวรรค์ราวเกือบ 2 ชั่วโมงช่วงกลางดึกคืนวันจันทร์แทบล่มสลายในทันทีหลังสิ้งเสียงนกหวีดยาวของ นีล สวอร์บริค ที่ลิเบอร์ตี้ สเตเดี้ยม

    ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ทำสถิติไร้พ่ายมาตลอด 18 นัดหลังสุดรวมทุกรายการต้องมาเสียท่าให้กับทีมบ๊วยอย่าง สวอนซี ที่กำลังจะตกชั้นซะอย่างนั้น

    พยายามหาเหตุผลร้อยแปดก็มองมุมไหนไม่ได้เลยนอกเสียจาก ลิเวอร์พูล เล่นห่วยเอง

    แน่นอน เครดิตต้องยกให้ทีมหงส์ขาวที่ตั้งใจเล่นวิ่งไล่บี้ทุกจังหวะยามที่บอลเข้ามาในพื้นที่อันตราย ทว่าสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือหงส์แดงเองก็ไม่หลากหลายมากพอ

    ย้อนกลับไปดูตั้งแต่ไลน์อัพตัวจริงก็เป็นไปตามคาด ลอริส คาริอุส ที่เป็นลูกรักกุนซือเมืองเบียร์แย่งชิงมือหนึ่งมาจาก ซิมง มิโญเลต์ แบบงงๆ

    แนวรับได้ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกหายเจ็บกลับมายืนคู่กับ โฌแอล มาติป โดยมี โจ โกเมซ กับ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน เป็นแบ็กสองฝั่ง

    แดนกลางหลังจากเสีย ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ไป อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ได้โอกาสมากขึ้น โดยประสานงานกับ เอ็มเร่ ชาน และ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม

    แดนหน้า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หายป่วยฟิตคืนตัวจริง ผสมโรงกับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ ในแนวรุก

    เห็นภาพรวมแล้วนี่คือชุดที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในชั่วโมงนี้

    นี่คือทีมที่ยัดเยียดความปราชัยในพรีเมียร์ลีกนัดแรกของซีซั่นให้กับ แมนฯ ซิตี้ เมื่อสัปดาห์ก่อน

    แต่ทุกอย่างมันกลับฝั่งไปหมดตอนลงบู๊กันจริงๆ

    พูดตรงๆ พวกคุณมึงไปแพ้เรือใบแล้วมาชนะ สวอนซี ตรูยังจะรู้สึกดีกว่านี้อีก

    ถามแฟนหงส์ที่นั่งชมเกมนี้หน่อย ตั้งแต่ที่โดน แอลฟี่ มอว์สัน กองหลังเจ้าบ้านหวดประตูขึ้นนำไปตั้งแต่นาทีที่ 40 จากนั้นมีจังหวะไหนที่ ลูคัส ฟาเบียนสกี้ ต้องออกแรงเซฟแบบอันตรายบ้าง

    ขอบอกว่านึกไม่ออกเลยจริงๆ

    โอเค ทุกทีมมันจะมีวันแย่ๆ ของตัวเอง แต่เหล่ายักษ์ใหญ่ส่วนมากเวลาเจอเกมที่ค่อนข้างตื้อตันแบบนี้ พวกเขาก็มักจะมีทีเด็ดลงมาเปลี่ยนอยู่เสมอ

    แต่นั่นไม่เคยเกิดขึ้นเลยที ลิเวอร์พูล ยิ่งเกมนี้ยิ่งชัดไปใหญ่ นักเตะที่กองเชียร์หวังมากที่สุดอย่าง โม ซาลาห์ เงียบเป็นเป่าสาก ส่วน มาเน่ ก็หมาไม่แดรกส์!!!

    ทว่าคนที่ลงมาเป็นสำรองอย่าง อดัม ลัลลาน่า กับ แดนนี่ อิงก์ส ไม่สามารถสร้างอิมแพ็คใหม่ๆ ให้ทีมได้เลย

    ไล่ดูรายชื่อสำรอง ก็มีแค่ โดมินิก โซลันกี้ อีกคนเดียวเท่านั้นที่เป็นตัวรุก ที่เหลืออย่าง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ รักนาร์ คลาวาน ต่างก็เป็นกองหลังแทบทั้งสิ้น

    แต่จะว่าไป แม้ โซลันกี้ จะทรงดูดี แต่เขาก็ยังไม่เคยยิงประตูในสีเสื้อหงส์แดงได้เลยแม้แต่ลูกเดียว

    ทีมที่จะสามารถคว้าแชมป์ลีกได้ พวกเขาจะไม่พึ่งพานักเตะเพียงแค่ 13 หรือ 14 คนตลอดทั้งฤดูกาลหรอก อย่างน้อยๆ มันต้องมีที่เชื่อใจได้สัก 17 ถึง 18 คนที่พร้อมใช้งานเลยทันที

    เกมนี้ หลายคนต่างจับจ้องไปที่ ฟาน ไดค์ ไม่น้อยเลย เพราะนี่คือเกมเปิดตัวนัดแรกในพรีเมียร์ลีกกับหงส์แดง หลังจากมีดรีมสตาร์ทไปแล้วในนัดที่โขกประตูชัยใส่ เอฟเวอร์ตัน ในเอฟเอ คัพ

    อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ค่ำคืนที่น่าจดจำของเจ้าตัวเลย เขาผิดพลาดเหมือนกันในจังหวะโขกสกัดไม่ดีจนนำมาซึ่งประตูขึ้นนำของ สวอนซี

    หลายคนบอกมันอาจแค่เริ่มต้น เราต้องให้เวลาเขา ซึ่งมันก็จริง แต่ด้วยค่าตัวระดับ 75 ล้านปอนด์ แฟนๆ ย่อมอยากเห็นอะไรที่เพิ่มมากกว่านี้ ไม่งั้นก็สู้เก็บตังไว้แล้วใช้ เดยัน ลอฟเรน หรือ คลาวาน ไปดีกว่า

    อีกคนที่น่าผิดหวังสุดขีดก็คือ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม

    กองกลางดัตช์แมนเล่นได้อย่างโดดเด่นมากในเกมเอาชนะเรือใบ แต่ก็ทิ้งคำชื่นชมไว้ข้างหลังอย่างรวดเร็วในสัปดาห์ถัดมา

    ความไม่คงเส้นคงวาคือปัญหาใหญ่ของมิดฟิลด์ทีมชาติฮอลแลนด์ ว่ากันตามตรง นัดนี้คู่เซนเตอร์ทั้ง ฟาน ไดค์ และ มาติป เอาบอลมาเล่นเกมรุกมากกว่า ไวนัลดุม เสียอีก

    เขาเดินออกจากสนามในนาทีที่ 73 แบบไม่มีผลงานอะไรให้น่าจดจำในแง่บวกเลย

    หลังจบเกม คล็อปป์ เองก็ค่อนข้างหัวเสียโดยเขากล่าวว่า "ในฐานะนักเตะลิเวอร์พูล คุณไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้ดีในอาทิตย์นี้ และอีกอาทิตย์นึงก็เล่นแย่ เราต้องทำให้ดีได้ต่อเนื่องในทุกๆ วัน และทุกๆ เกม"

    หลายคนโทษการขาดหายไปของ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ แต่เชื่ออย่างนึงเลย ไม่แน่หากมิดฟิลด์บราซิเลี่ยนอยู่ในสนามในเกมนี้ หงส์แดงก็อาจไม่แตกต่างไปจากเดิมก็ได้

    หลายครั้งหลายหนที่ ลิเวอร์พูล เจอทีมตั้งรับลึกแล้วมีปัญหาเจาะไม่เข้า มันเป็นมาตั้งแต่ที่ คล็อปป์ เข้ามาทำงานในถิ่นแอนฟิลด์ปีแรก

    บางนัดแย่น้อยหน่อยก็ลงเอยด้วยผลเสมอ แต่หากเลวร้ายเลยก็ถึงขั้นแพ้

    ผมได้นั่งชมเกมแบบเต็มๆ 90 นาทีตอนถ่ายทอดสด ซึ่งยอมรับเลยชั่วโมงนั้นใช้แต่อารมณ์มากกว่าหาเหตุผลเลยแทบไม่สามารถจับใจความเอารายละเอียดใดๆ มาวิเคราะห์ได้

    ทีนี้เลยต้องลองไปหาเทปการแข่งขันแบบฟูลแมตช์มานั่งดูอีกรอบแบบเจ็บช้ำระกำใจ

    แนวทางการเล่นของหงส์แดงในนัดนี้มันก็เหมือนที่ผ่านมา คือเน้นการทำชิ่งเร็วต่อบอลเพื่อหาช่องเข้าทำยังพื้นที่สุดท้าย แต่มันดันไม่เหมือนเกมก่อนๆ เพราะ สวอนซี เอานักเตะอุดในแดนตัวเองทั้ง 11 คน เวลาหงส์แดงต่อบอลพวกเขาไปกองในเขตโทษตัวเองรวมถึงหน้าเขตโทษก็ตีไปซะ 8-9 คน

    มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ลิเวอร์พูลจะเจาะเข้าทำแบบตรงๆ ได้

    จุดบอดใหญ่ก็คือเกมริมเส้นที่ไม่มีให้เห็น หลายคนอาจเถียง แอนดี้ โรเบิร์ตสัน เติมสูงไปทางด้านซ้ายออกจะบ่อย แต่มันเป็นการเติมสูงแบบไม่สามารถถ่างแนวรับคู่แข่งออกมาได้

    ถ้ามองให้ลึก เกมนี้หงส์แดงไม่มีการเอาบอลมาครองแถวริมเส้นหรือใกล้ๆ กับมุมธงเลย คือจะเน้นต่อบอลกันบริเวณกลางสนาม หากเข้าทำไม่ได้ก็คืนหลังไปตั้งใหม่ ซึ่งมันไม่ถ่างแนวรับคู่แข่ง พวกเขาน่าจะเอาบอลขึ้นไปริมเส้นบ้างเพื่อถ่างเกมรับที่แน่นขนัดตรงกลางให้มันกว้างออก เปิดพื้นที่โซนในให้มากขึ้น

    แต่นี่ไม่มีให้เห็นแม้แต่น้อย นักเตะที่เปลี่ยนลงมาอย่าง แดนนี่ อิงก์ส ก็ไร้ซึ่งความคล่องตัว ความเร็วก็ไม่เหลือ

    คล็อปป์ เคยบอกว่าเขารู้ว่าควรทำอย่างไรเวลาเจอทีมที่มาเน้นรับลึก แต่พอมาเจออีกนัดกับ สวอนซี ก็ยังไม่เห็นว่ามันจะมีพัฒนาการอะไรตรงไหน

    สุดท้ายมันก็เข้าอีหรอบเดิม คือดี 3 นัด แย่ 1 นัด หรือดี 5 นัด ห่วย 2 นัด

    แบบนี้มันไม่สามารถประสบความสำเร็จในพรีเมียร์ลีกได้

    ยิ่งกับทุกวันนี้ที่การแข่งขันสูงมากโดยมี แมนฯ ซิตี้ เป็นตัวยืนด้วยแล้ว

    หากเรายังมัวเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแบบนี้

    คำว่า "ปีหน้าว่ากันใหม่" มันก็จะยังคงใช้ในหมู่เดอะ ค็อปอยู่เรื่อยๆ


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})