โชคดี'แดน'
เพราะแม้การย้ายทีมครั้งนี้จะเป็นเพียงแค่สัญญาเช่ายืม แต่ร้อยทั้งร้อยก็ต่างรู้ว่าหัวหอกวัย 28 กะรัตไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของ เจอร์เก้น คล็อปป์ สักเท่าไหร่
หากจะใช้คำว่าน่าเสียดายก็คงไม่ผิดนัก
เมื่อมองถึงพรสวรรค์ ฝีเท้า ความสามารถ นี่คือกองหน้าที่ครบเครื่องคนนึงของโลก วงเล็บไว้ในช่วงก่อนเจ็บ
เขามีช่วงเวลาที่สุดยอดในทีม ลิเวอร์พูล จนเกือบพาหงส์แดงเถลิงแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สมัยยุคของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
แต่ก็ต้องบอกว่าน่าเสียดายอีกครั้งที่มันไม่เกิดขึ้น
และยิ่งเสียดายซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่มันไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยนับจากนั้น
ย้อนกลับไปในช่วงมกราคมของปี 2013 ในตอนที่ ลิเวอร์พูล ไปคว้าเอา สเตอร์ริดจ์ มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ ผมยอมรับตามตรงเลยว่าดีใจโคตรๆ
แม้ตอนนั้น ดาวยิงรายนี้จะยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองอะไรมาก แต่ผมเองก็เคยได้เห็นเต็มสองตาตั้งแต่ที่เขาโดน โบลตัน ของ โอเว่น คอยล์ ยืมตัวไปใช้งานสมัยยังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงของ เชลซี
ตอนนั้น เดอะ ทร็อตเตอร์ส กำลังดิ้นรนหนีการตกชั้นอย่างหนัก และ สเตอร์ริดจ์ เองก็ใช้เวลาเพียงครึ่งฤดูกาลซัลโวไป 8 ประตูจากการลงเล่นเพียง 12 นัด
โหดไหมล่ะ???
อันที่จริง สิงห์บลูส์ก็ไม่ใช่ทีมที่ปลุกปั้นเขาขึ้นมา แต่ไปฉกตัวมาจากอะคาเดมี่ของ แมนฯ ซิตี้ และจ่ายค่าชดเชยไปเพียงน้อยนิดเท่านั้น
สเตอร์ริดจ์ เหมือนจะแจ้งเกิดได้ในยุคของ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ เมื่อเหล่ากองหน้าอย่าง เฟร์นานโอ ตอร์เรส และ เดมบา บา ไม่เป็นที่ไว้ใจได้สักคน แต่พอ ราฟาเอล เบนิเตซ เข้ามาทำทีมต่อ กองหน้าเลือดผู้ดีก็ถูกขายออกมาให้หงส์แดงในราคา 12 ล้านปอนด์
และเขาก็เปิดตัวได้อย่างยอดเยี่ยมกับทีมตั้งแต่ปีแรกเมื่อยิงไป 10 ประตูจาก 14 นัดที่ลงเล่น
ปีต่อมาเขาประสานงานกับ หลุยส์ ซัวเรซ ได้อย่างลงตัวจนก่อกำเนิดคู่หู เอสเอเอสขึ้นมาอีกครั้งนึง
เขาควรจะก้าวขึ้นมาเป็นตำนานแห่งถิ่นแอนฟิลด์ได้ง่ายๆ
ถ้า!
อาการบาดเจ็บไม่ลักพาตัวเขาไป
มันไม่ใช่อาการเจ็บแบบชาวบ้านธรรมดาทั่วไป พอ สเตอร์ริดจ์ หายเจ็บตรงโน้น เขาก็จะเจ็บตรงนี้แทน และพอหายเจ็บตรงนี้ เขาก็จะไปเจ็บตรงนั้นแทน และพอหายเจ็บตรงนั้น เขาก็จะกลับไปเจ็บที่เดิมอีก
มันเป็นแบบนี้เรื่อยมาจนกระทั่งฝีเท้า และความมั่นใจแทบไม่หลงเหลือ
นับจากปี 2013-14 ที่ระเบิดฟอร์มซัดในพรีเมียร์ลีกไป 21 ตุง เขาไม่เคยยิงได้แตะหลัก 10 ลูกในลีกต่อซีซั่นได้อีกเลย
แล้วเขาจะยังเป็นหนึ่งในกองหน้าคนสำคัญได้อย่างไรกัน
แม้กุนซือจะผลัดใบจาก ร็อดเจอร์ส มาถึงยุคของ คล็อปป์ เขาก็ไม่ได้เป็นที่ไว้วางใจสักเท่าไหร่ นั่นก็เพราะเรื่องเดิมๆ คืออาการบาดเจ็บนั่นเอง
เขามีโอกาสลงเล่นตัวจริงเพียง 20 นัด จากจำนวนเกมพรีเมียร์ลีก 92 นัดนับตั้งแต่ คล็อปป์ เข้ามาทำงาน เจอแบบนี้จะให้กุนซือเมืองเบียร์ไว้ใจเขาอย่างนั่นหรือ...
สเตอร์ริดจ์ เคยเป็นกองหน้าที่ฝีเท้ารอบจัด คมในทุกจังหวะที่ง้างเท้าสับไก แต่ในทุกวันนี้ เราเคยเห็นเขาพาบอลกระชากหนีกองหลังฝั่งตรงข้ามได้บ้างไหม แค่จะคอนโทรลบอลให้มีจังหวะยิงยังยากเลย
มันเหมือนสนิมที่เกาะกังจนไม่อาจขับหรือลบมันออกไปได้อีกแล้ว
ความทรงจำว่า หัวหอกวัย 28 ปียังเป็นกองหน้าที่เก่งอยู่ กองหน้าเบอร์ต้นๆ ของเมืองผู้ดีนั้นแทบจางหายไปกับสายลม เหลือไว้ก็เพียงภาพความทรงจำว่าเขาเคยมีช่วงเวลาที่สุดยอดเพียงใดในอดีตก็แค่นั้น
การย้ายทีมครั้งนี้ แน่นอนว่าเหล่าเดอะ ค็อป ทั้งหลายต่างเสียดายในตัวเขา ซึ่งผมเองก็เช่นกัน
แต่จะให้ทู่ซี้อยู่กับทีมต่อไปก็ใช่เรื่อง
เพราะ ลิเวอร์พูล ก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเขา เขาเองก็ไม่สามารถแย่งชิงตำแหน่งตัวจริงมาจาก โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ได้ แถมบางทีทั้ง โดมินิก โซลันกี้ หรือ แดนนี่ อิงก์ส ยังได้รับโอกาสก่อนหน้าอีก
นอกจากนี้ตัวเขาก็เสียโอกาสในการพิสูจน์ตัวเองให้เป็นหนึ่งในสมาชิกทีมชาติอังกฤษชุุดสู้ศึกฟุตบอลโลกที่รัสเซียด้วย
ฉะนั้น การปล่อยยืมไปยังค่าย เวสต์บรอมวิช ครั้งนี้ก็ถือว่าวินสำหรับทั้งสองฝ่าย หงส์แดงเองก็ได้เงินมาใช้นิ่มๆ 2 ล้านปอนด์เป็นค่ายืมตัว แถมเดอะ แบ็กกี้ส์ ยังต้องจ่ายค่าเหนื่อยจำนวน 120,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ให้อีกต่างหาก
สำหรับแฟนหงส์แดงอย่างเราก็ยังคงได้แต่หวังลึกๆ ว่าสักวัน สเตอร์ริดจ์ คนเดิมคนนั้นจะกลับมา
ไม่แน่การได้ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ อาจจะจุดไฟ และทำให้เขากลับมาเป็นยอดดาวยิงอีกครั้ง
ขอให้มันเกิดขึ้นกับ สเตอร์ริดจ์ เถอะ
แม้ในใจจะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นจริงเลยก็ตาม...
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT