เสียดาย
เขาเป็นหนึ่งในมือปืนสังหารจุดโทษในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก ที่ชนะ เชลซี ปี 2008 และก็นัดชิงลีก คัพ กับ สเปอร์ส ในปี 2009 นี่ยังไม่รวมถึงฟอร์มอันสุดยอดของเขาบนชัยชนะเหนือ ชาลเก้ ในรอบตัดเชือกแชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2011
ช่วงเวลาเหล่านี้เพียงพอที่จะทำให้ เบน ฟอสเตอร์ รู้ว่าเขากำลังแชร์ห้องแต่งตัวร่วมกับสุดยอดดาวเตะพรสวรรค์
"เขาอาจเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก ณ จุดๆ หนึ่ง ผมให้คำมั่นกับคุณได้เลยว่าเขามีสิ่งนั้น" มือกาวที่ปัจจุบันอยู่กับ วัตฟอร์ด เพิ่งกล่าวเมื่อไม่นานมานี้
"ใครๆ ก็บอกว่าเขาอาจจะเก่งที่สุดในโลก ณ ช่วงเวลาหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ เขาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น"
แต่ อันแดร์สัน ก็ไม่ใช่ผู้เล่นคนเดียวที่ล้มเหลวในการใช้ประโยชน์สูงสุดจากของขวัญติดตัวที่พวกเขาได้มาจนทุกคนได้แค่พูดว่า 'เสียดาย'
มาริโอ บาโลเตลลี่
มีช่วงเวลาหนึ่งที่ มาริโอ บาโลเตลลี่ ถูกกล่าวขานว่าจะกลายเป็นกองหน้าระดับท็อปคนต่อไปของโลก
ที่ แมนฯ ซิตี้ ทุกอย่างดูยอดเยี่ยมไปหมด เมื่อเขาทำตามสัญญาแรกในตอนที่ย้ายมาจาก อินเตอร์ มิลาน ด้วยการสร้างความประทับใจในลีกสูงสุดเมืองผู้ดีได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ เขายังแสดงให้เห็นในเวทีระดับนานาชาติ ด้วยฟอร์มที่ยากจะลืมเลือนในเกมกับ เยอรมัน ในรอบตัดเชือก ยูโร 2012 ซึ่งยิ่งทำให้เขาเป็นที่พูดถึงมากไปอีก
อย่างไรก็ตาม ในหัวของ บาโลเตลลี่ ดูจะให้ความสนใจเรื่องอื่นนอกสนามอยู่ตลอด และสร้างเรื่องราวไปทั่วเมืองแมนเชสเตอร์ ทั้งการจุดพลุในบ้านจนไฟไหม้, ปาลูกดอกใส่เด็ก แถมยังมีเหตุดการณ์รถชนอีก
ส่วนในสนามเขาก็เป็นคนที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลย โชเซ่ มูรินโญ่ เคยเล่าเรื่องของเขาสมัยอยู่ อินเตอร์ ด้วยการร้องขอให้ บาโลเตลลี่ ให้ใจเย็นๆ ทำตัวนิ่งๆ ในช่วงพักครึ่ง เนื่องจากเจ้าตัวโดนใบเหลืองไปแล้ว และก็ไม่สามารถถูกเปลี่ยนตัวออกได้เนื่องจากเป็นกองหน้าคนเดียวที่เหลืออยู่ในทีม สุดท้ายลงเล่นครึ่งหลังได้นาทีเดียว 'บาโล' ก็โดนใบแดง
โรแบร์โต้ มันชินี่ เองก็เคยโกรธจัด และพูดถึงเขาว่า "ถ้า มาริโอ ไม่ใช่หนึ่งในผู้เล่นที่เก่งที่สุดในโลก มันก็คงเป็นความผิดพลาดของเขา เพราะเขามีพร้อมทุกอย่าง"
เขาลงเอยด้วยการย้ายออกจาก แมนฯ ซิตี้ ในปี 2013 และเขาก็ยอมรับหลังจากนั้นว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด บาโลเตลลี่ เชื่อว่าเขาจะก้าวไปคว้ารางวัลบัลลงดอร์ได้อย่างน้อยครั้งนึงแน่หากยังอยู่กับ เรือใบ ต่อไป
แต่เมื่อมองจากความคาดหวังทั้งหมดแล้ว เส้นทางอาชีพของเขามันลงเอยด้วยความน่าผิดหวัง
อาเดรียโน่
การหายไปของ อาเดรียโน่ เป็นเรื่องน่าเศร้า และเป็นบทเรียนเกี่ยวกับความยากลำบากที่เหล่าสตาร์อเมริกาใต้ต้องเผชิญเมื่อเขาต้องการมาสร้างชื่อในยุโรป
พรสวรรค์ของกองหน้าบราซิเลี่ยนไม่มีใครปฏิเสธได้ เมื่อเขาโด่งดังเป็นพลุแตกในอิตาลี เมื่อปี 2001 ซึ่งโดดเด่นมากในเซเรีย อา ทั้งกับ อินเตอร์, ฟิออเรนติน่า และ ปาร์ม่า
ที่ งูใหญ่ เขาคือตัวอันตรายมากที่สุด ซึ่งได้รับการยืนยันเรื่องดังกล่าวจาก ซลาตัน อิบราฮิโมวิช
"ผมเล่นกับแชมเปี้ยนที่ยอดเยี่ยม" หัวหอกสวีเดนกล่าวเมื่อปี 2017
"คนที่ผมรู้สึกว่าน่าจะทำอะไรได้นานกว่านี้ และเขาทำไม่ได้นั่นก็คือ อาเดรียโน่ ในตอนที่ผมอยู่กับ อินเตอร์ เขาสามารถยิงได้จากทุกมุม ไม่มีใครที่สามารถหยุดเขาได้ ไม่มีใครแย่งบอลจากเขาได้ เขาเหมือนกับสัตว์ป่า"
น่าเสียดายที่การเสียชีวิตของพ่อเขาส่งผลกระทบอย่างมากต่อ อาเดรียโน่ ในปี 2004 ยิ่งการอยู่ไกลบ้าน และรู้เรื่องทางโทรศัพท์ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก
"หลังจากโทรศัพท์ครั้งนั้น ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป" ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ กล่าวในปี 2017
"อีบัน กอร์โดบา ใช้เวลากับเขาทั้งคืน และพูดว่า 'อาดรี คุณผสมผสานระหว่าง โรนัลโด้ และ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช คุณรู้ไหมว่าคุณสามารถเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลกได้"
"เราไม่สามารถดึงเขาออกจากภาวะซึมเศร้าได้สำเร็จ"
หลังกลับไปบราซิล เขามารีเทิร์นสู่อิตาลีอีกครั้งกับ โรม่า แต่เหมือนวันเวลาเก่าๆ มันผ่านไปหมดแล้ว เขาแขวนสตั๊ดในปี 2016 กับ ไมอามี ยูไนเต็ด ที่สหรัฐอเมริกา
ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา
เขาเป็นตัวอันตรายสำหรับกองหลัง และก็ต้นสังกัดของตัวเองในอัตราเท่าๆ กัน ทัศนคติของ ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา ทำให้เขาไม่สามารถก้าวไปถึงจุดสูงสุดได้
ความสามารถของเขาไม่เคยเป็นที่สงสัย ด้วยความโดดเด่นของเขานั้นทำให้เจ้าตัวเป็นที่ต้องการมากที่สุดในฝรั่งเศสเมื่อสมัยวัยรุ่น ในขณะที่เขาเปลี่ยนเสื้อจาก ลียง ไป มาร์กเซย
ในตอนที่ย้ายมา นิวคาสเซิ่ล ในปี 2010 ดาวเตะเฟร้นช์แมนก็สร้างชื่อได้ทันที โดยทำประตูใส่ เอฟเวอร์ตัน ในเกมประเดิมแบบเต็มๆ ในพรีเมียร์ลีก
อาการบาดเจ็บรุนแรงทำให้ซีซั่นแรกของเขาสั้นลง แม้ว่าจะกลับมาทำ 2 ประตูที่น่าทึ่งในปี 2012 ใส่ แบล็คเบิร์น และ โบลตัน จนถึงขั้นถูกยกว่าอาจจะก้าวไปเทียบเท่า ลีโอเนล เมสซี่ เลยทีเดียว
น่าเสียดายที่ช่วยเวลากับหอมหวานสำหรับ นิวคาสเซิ่ล และ เบน อาร์กฟา มีไม่มากนัก การซ้อมของเขาถูกตั้งคำถามเมื่อกลายเป็นคนนอกคอกในห้องแต่งตัว
ในที่สุดเขาก็ออกจากสโมสร หลังไปเล่นแบบยืมตัวกับ ฮัลล์ ซิตี้ ซึ่งเหมือนหายนะ
ในที่สุดเขาก็กลับไปยังฝรั่งเศส และเหมือนจะกลับไปเกิดใหม่อีกครั้งเมื่อเซ็นสัญญากับ เปแอสเช หลังฤดูกาลที่น่าตื่นตาตื่นใจกับ นีซ
กระนั้น ทุกอย่างก็เข้าอีหรอบเดิม เมื่อถูก อูไน เอเมรี่ ขับออกจากทีมชุดใหญ่จนถึงขั้นมีการพึ่งทนายฟ้องร้องสโมสร
จากนั้นเขาก็ระเห็จไปอยู่กับหลายทีมในฝรั่งเศส และสเปน แต่สำหรับโอกาสที่จะไปถึงจุดสูงสุดในอาชีพของเขาได้หายไปนานแล้ว
อเล็กซานเดร ปาโต้
ก็เหมือนกับคนอื่นๆ อเล็กซานเดร ปาโต้ เคยคว้ารางวัลโกลเด้นบอย ซึ่งเป็นรางวัลที่บ่งบอกว่าอนาคตสดใสมากเพียงใด
ทีแรกดาวเตะบราซิเลี่ยนฉายแววอย่างเต็มที่กับ เอซี มิลาน หลังย้ายมาจาก อินเตอร์นาซิอองนาล ด้วยค่าตัว 24 ล้านยูโร ใรปี 2008
เขาทำประตูในเกมประเดิมเซเรีย อา นัดพบ นาโปลี และจบซีซั่นแรกด้วยการทำ 9 ลูก จาก 20 นัด
แม้จะจบฤดูกาล 2009 ในฐานะดาวซัลโวสูงสุดของ มิลาน แต่อาการบาดเจ็บก็เริ่มส่งผลกระทบต่อเส้นทางของเขา
ปัญหาเรื้อรังที่เอ็นหลังหัวเข่าทำให้เวลาในการลงสนามของเขาลดลง แม้จะช่วยให้ทีมคว้าแชมป์เซเรีย อา ได้ในปี 2011 ด้วยการทำไป 14 ประตู
อิทธิพลในถิ่นซาน ซิโร่ ของเขาเริ่มลดลง และในที่สุดเขาก็กลับไปบราซิล โดยเซ็นสัญญากับ โครินเธียนส์
การยืมตัวไปยัง เชลซี สรุปปัญหาเรื่องความฟิตของเขาได้อย่างชัดเจน หลังเซ็นสัญญาในเดือนมกราคม เขาไม่ได้ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่เลยจนถึงเดือนเมษายน โดยทำประตูได้ในเกมประเดิมสนามกับ แอสตัน วิลล่า และจากนั้นก็ได้เล่นเพิ่มอีกแค่เกมเดียว
ตอนนี้ในวัย 32 ปี เขาเล่นอยู่กับ ออร์แลนโด ซิตี้ ในเมเจอร์ลีก ซึ่งแสงอาทิตย์อันร้อนแรงของเขามันตกดินไปแบบไม่หวนคืนมาได้อีกแล้ว
ราเวล มอร์ริสัน
เขาเคยถูกมองว่าเป็นความหวังครั้งใหญ่สำหรับวงการฟุตบอลอังกฤษ แต่ด้วยวัย 29 ปี ในตอนนี้ ราเวล มอร์ริสัน กำลังเล่นในแชมเปี้ยนชิพ มากกว่าที่จะโลดแล่นในแชมเปี้ยนส์ลีก
มอร์ริสัน อยู่ในอะคาเดมี่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งแฟนๆ รวมถึง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นแฟนตัวยงของเขา
ในระดับเยาวชน เขามีส่วนสำเร็จในแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ของ ผีแดง ในปี 2011 แต่โอกาสในทีมชุดใหญ่ของเขาก็ยังมีไม่เยอะเท่าไหร่
เขาย้ายไป เวสต์แฮม โดย เฟอร์กูสัน บอก แซม อัลลาร์ไดซ์ กุนซือ ขุนค้อน ในตอนนั้นว่าเขาเป็นนักฟุตบอลที่เก่งมาก มีความสามารถที่ยอดเยี่ยม เขาจำเป็นต้องออกจาก ยูไนเต็ด และเพิ่มชีวิตใหม่
ดูเหมือนว่าชีวิตใหม่ของเขาจะเป็นไปอย่างสวยงาม เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นในเกมพบ สเปอร์ส ที่ไวท์ ฮาร์ท เลน บนชัยชนะ 3-0 อันน่าจดจำ
แต่ มอร์ริสัน กลับมีปัญหานอกสนาม โดยเขาเคยถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรค ADHD หรือสมองมีความผิดปกติ และไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีมาตั้งแต่สมัยอยู่กับ ยูไนเต็ด แล้ว
ความพยายามที่จะเริ่มต้นอาชีพใหม่ของเขาที่ ลาซิโอ, ออสเตอร์ซุนด์ และ เชฟฯ ยูไนเต็ด ล้วนไม่เป็นผล แต่ในตอนนี้ภายใต้การทำงานกับ เวย์น รูนี่ย์ ในถิ่นไพรด์ พาร์ค ในที่สุดเขาก็ค้นพบตัวตนในทีมชุดใหญ่ได้เสียที
ริคาร์โด้ กวาเรสม่า
ริคาร์โด้ กวาเรสม่า ดังมาก่อน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และถูกยกให้เหนือกว่าด้วยซ้ำในช่วงเวลาเดียวกัน
ทุกอย่างบ่งบอกอย่างชัดเจนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ในขณะที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในวัย 37 ปี กำลังเตรียมตัวเพื่อทำศึกเพลย์ออฟฟุตบอลโลกกับ มาซิโดเนียเหนือ แต่ กวาเรสม่า วัย 38 ปี ลงเล่นให้ทีมตำนานโลกพบตำนานเรนเจอร์ส ที่ไอบร็อกซ์ สเตเดี้ยม
กวาเรสม่า และ โรนัลโด้ ถูกดึงสู่ทีมชุดใหญ่ของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน โดย ลาสโล่ โบโลนี่ ในปี 2003 ซึ่ง โรนัลโด้ ย้ายไป แมนฯ ยูไนเต็ด ส่วน กวาเรสม่า มุ่งหน้าสู่ บาร์เซโลน่า เพื่อก้าวไปยังจุดสูงสุดของตัวเอง
สิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น แม้จะเต็มไปด้วยพรสวรรค์ แต่ความไม่ลงรอยกับโค้ชขัดขวางความก้าวหน้าของเขา โดยปี 2004 เขาประกาศว่าจะไม่เล่นให้ บาร์ซ่า อีกต่อไปตราบที่ แฟร้งค์ ไรการ์ด ยังคุมทีมอยู่ ก่อนที่จะย้ายออกไป
การกลับไปโปรตุเกสกับ ปอร์โต้ เป็นเวลา 4 ปี ทำให้เขากลับมาอยู่ในเส้นทางเดิมอีกครั้ง แต่ความพยายามจะสร้างชื่อในต่างแดนอีกหนของเขาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเหมือนเดิม การย้ายไป อินเตอร์ และการยืมตัวกับ เชลซี ต่างล้มเหลวทั้งหมด
เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติโปรตุเกสชุดแชมป์ยูโร 2016 แต่ โรนัลโด้ คือคนที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จของเขา ไม่ใช่ กวาเรสม่า
เส้นทางค้าแข้งของเขาไม่ได้เป็นที่พูดถึงเลยในยูเออี, ตุรกี และก็กลับมาโปรตุเกสกับ วิตอเรีย กิมาไรช์ ซึ่งนั่นคือจุดสิ้นสุดอาชีพของเขาที่ยังไม่ประสบความสำเร็จเลย
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT