ค่ำคืนบาเซิ่ลเปลี่ยนชีวิตหงส์
เตียงเป็นสิ่งเดียวในความคิดของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เมื่อเขากลับมาถึงโรงแรมโนโวเทลที่บาเซิ่ล
คืนนั้นไม่ใช่วันที่ดีเลย หลังจากครึ่งแรกที่ ลิเวอร์พูล ออกนำ ก่อนที่จะพลิกกลับมาพ่าย เซบีย่า อย่างเจ็บปวด 1-3 ในรอบชิงชนะเลิศ ยูโรปา ลีก ปี 2015-16 มันทำให้ฤดูกาลของพวกเขาลงเอยด้วยการไร้ถ้วยแชมป์ และไม่ประสบความสำเร็จใดๆ เลย
ตัวของ เฮนเดอร์สัน เองก็ไม่ได้ลุกมาจากม้านั่งสำรองเพื่อลงสนามด้วยซ้ำ หลังเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บเข่า โดยกัปตันทำได้แค่เฝ้ามองทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ส่ง ดิว็อก โอริกี้, โจ อัลลัน และ คริสติย็อง เบนเตเก้ ลงสำหรับเพื่อความพยายามที่จะพลิกเกมอย่างไร้ผล
เมื่อกลับมาถึงโรงแรม แน่นอนแผนการก็คือปิดไฟนอน พยายามข่มตาให้หลับ เก็บซ่อนความผิดหวัง และข่มขื่น "ไม่ต้องการเจอหน้าใคร และหลับยาวไปซะ" นั่นคือสิ่งที่ เฮนเดอร์สัน กล่าว
แต่ใครจะไปคิดว่า คล็อปป์ ดันมีไอเดียอื่น
"นายมีเวลา 10 นาที" กุนซือชาวเยอรมันกล่าวกับผู้เล่น และทีมงานของเขา
"ฉันต้องการให้นายกลับไปที่นี่ ในบาร์ พวกนายทุกคน"
เฮนเดอร์สัน เองก็ยอมรับว่าเขาไม่ได้เห็นด้วยกับคำสั่งในตอนนั้นเลย "บอกตามตรง มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมต้องการ" ทั้งตัวของ เฮนโด้ และเพื่อนร่วมทีมจำเป็นต้องทำ
และเมื่อเวลาผ่านไป ความเจ็บปวดก็ค่อยๆ บรรเทาลง ไม่นานรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะก็กลับมา ทุกอย่างได้รับการแก้ไข และแง่บวกก็กลับมา
คล็อปป์ เองก็คว้าไมโครโฟนแล้วแหกปากร้อง "เราคือ ลิเวอร์พูล ลา-ลา-ลา-ลา-ลา" และกระตุ้นให้ทุกคนเอากับเขาด้วย พวกเขาทำมันหลังความพ่ายแพ้ที่สวิตเซอร์แลนด์ ก่อนที่ทุกคนจะกลับไปยังห้องพักของตัวเอง
เกือบ 6 ปีผ่านไป เฮนเดอร์สัน มองย้อนกลับไปที่งานเลี้ยงแบบกระทันหันครั้งนั้น และตระหนักถึงความสำคัญของงานเลี้ยงดังกล่าว
"ผมจะจำมันไว้ตลอด" เขากล่าวกับนักข่าวก่อนชัยชนะเหนือ บียาร์เรอัล ในเกมนัดแรกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
"ผู้จัดการทีมแตกต่าง ความคิดของเขาแตกต่างออกไป มันรู้สึกราวกับว่าเขารู้ว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นของบางสิ่งบางอย่าง"
คล็อปป์ เองก็เสียใจไม่แพ้ใครหรอกกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่สนามเซนต์ ยาค็อบ พาร์ค เขาแทบจะหัวใจสลายเมื่อเห็นทีมของตัวเองพังลงในครึ่งหลัง แต่ในงานแถลงข่าวหลังการแข่งขัน เขาได้นำเสนอหนึ่งในคำพูดที่เฉียบแหลมที่สุดในยุคของตนกับ ลิเวอร์พูล
"สักวันหนึ่ง ทุกคนจะบอกว่า บาเซิ่ล เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากสำหรับอนาคตอันยอดเยี่ยมของสโมสร ลิเวอร์พูล" คล็อปป์ พูดกับนักข่าว
แน่นอนมีการเปลี่ยนแปลงมากมายนับจากนั้น มีเพียง 4 คน จาก 18 ผู้เล่นในทีม ลิเวอร์พูล วันนั้น (แพ้ เซบีย่า 1-3) ซึ่งก็คือ เฮนเดอร์สัน, โอริกี้, เจมส์ มิลเนอร์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ที่ยังหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน และ หงส์แดง ก็ก้าวข้ามผ่านยูโรปา ลีก มาไกลมากแล้ว
หากพวกเขาจบงานกับ บียาร์เรอัล ในคืนวันอังคารได้ พวกเขาก็จะได้เข้ารอบชิงชนะเลิศถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งที่ 3 ใน 5 ฤดูกาลหลังสุด
คล็อปป์ ได้สร้างทีมที่น่าเหลือเชื่อ และต้นกำเนิดมากมายสามารถสืบย้อนกลับไปยังเกมที่บาเซิ่ล ซึ่งบทเรียนที่ได้รับก็มาจาก อูไน เอเมรี่ สมัยยังอยู่กับ เซบีย่า
รูปแบบของความพ่ายแพ้นั้นทำให้ คล็อปป์ เชื่อว่าจำเป็นต้องเพิ่มความเร็วในเกมรุก และกองกลางประเภทที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
เขาเซ็นสัญญาคว้าตัว ซาดิโอ มาเน่ และ จีนี่ ไวนัลดุม รวมถึง โฌแอล มาติป เข้ามาในซัมเมอร์นั้น และปล่อยผู้เล่นออกไปไม่น้อยกว่า 15 คน รวมถึง 4 คนในทีมชุด 18 ผู้เล่นที่สนามบาเซิ่ลในวันนั้นด้วย
เขามายังเมอร์ซี่ย์ไซด์โดยมั่นใจว่าทีมที่ตนได้รับจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เป็นทีมที่ดี แต่ก็รู้ได้อย่างรวดเร็วว่ามีปัญหาที่หยั่งรากลึกในแง่ของความมั่นใจ และความคิด ในขณะที่เขาบอกผู้เล่นในการประชุมทีมครั้งหนึ่งว่า "ไม่มีใครชอบทีมนี้ แม้กระทั่งตัวเราเอง"
การเปลี่ยนกรอบความคิดนั้นเป็นเรื่องสำคัญของเขา แต่ยิ่งกว่านั้น หลังเกมกับ เซบีย่า ได้เปิดเผยให้เห็นถึงรอยแผลทั้งหมดที่ ลิเวอร์พูล ปกปิดไว้
ภายใต้แรงกดดันนั้น พวกเขาพังทลายลง สูญเสียผู้นำ ความนิ่ง ความเชื่อ และก็เกม แม้แต่ คล็อปป์ ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ โดยเขาดันใช้เวลาส่วนใหญ่ในครึ่งหลังกับการปลุกเร้าแฟนบอล ขณะที่การเปลี่ยนตัว และเปลี่ยนแท็คติกของเขากลับแทบไม่ได้ผลอะไรเลย
"สิ่งแรกที่คุณต้องทำเมื่อคุณมองชายในกระจกก็คือการวิจารณ์ตัวเอง ผมยังสามารถปรับปรุงได้อีกมาก" เขายอมรับ
นอกจากนี้ เขายังได้สัญญาว่า ลิเวอร์พูล จะใช้ประสบการณ์ครั้งนี้เพื่อเรียนรู้ เติบโต และพัฒนา
สิ่งที่พวกเขาทำภายใน 12 เดือนหลังได้กลับไปลุยแชมเปี้ยนส์ลีก พัฒนาด้วยการมาถึงของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน รวมถึงการก้าวขึ้นมาของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
พวกเขาไม่เคยถอยหลังกลับไปเลยนับแต่นั้นเป็นต้นมา มันตอกย้ำถึงการเติบโตจนกลายเป็นหนึ่งในสองทีมที่ดีที่สุดในยุโรป และบางทีอาจดีที่สุดในประวัติศาสตร์ หงส์แดง เองด้วย
ถ้าผลงานในเดือนพฤษภาคมยังเป็นไปได้ดีเหมือนในเดือนกุมภาพันธ์, มีนาคม และเมษายน อีก ทีมนี้อาจจบลงด้วยการสร้างประวัติศาสตร์กับทุกอย่างที่พวกเขาต้องการอย่าง เอฟเอ คัพ, พรีเมียร์ลีก และแชมเปี้ยนส์ลีก เพื่อรวมกับคาราบาว คัพ ที่ได้มาก่อนหน้านี้แล้ว
แน่นอนว่าคืนวันอังคารเขาจะได้ตัดสินกับศัตรูที่คุ้นเคยอีกครั้ง
เอเมรี่ ทำร้ายพวกเขาด้วย เซบีย่า และเขาก็หวังจะทำแบบนั้นอีกครั้งกับ บียาร์เรอัล แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะตุนความได้เปรียบมาด้วยสกอร์ 2-0 ในนัดแรกที่แอนฟิลด์ เมื่อวันพุธก่อนก็ตาม
ความว่าที่เอสตาดิโอ เด ลา เซรามิก้า น่าจะเป็นบรรยากาศที่ร้อนแรงเลย บียาร์เรอัล ยังหวังว่าจะทำได้ และรู้ว่าควรจะต้องทำประตูแรกให้ได้ในตอนไหนเพื่อที่สกอร์รวมจะกลับมาเสมอเป็นอย่างน้อย
แม้พวกเขาจะเข้าใจทุกอย่าง แต่อย่าคาดหวังว่า ลิเวอร์พูล ทีมนี้จะตื่นตระหนกง่ายๆ เพราะมันไม่ใช่ดีเอ็นเอของทีมนี้เลย
โลกมันเปลี่ยนไปนับตั้งแต่เกมที่บาเซิ่ล และจากนั้นมาทั้ง คล็อปป์ และทีมของเขาก็ไม่เคยเดินถอยหลังกลับไปเลย
พาสต้า
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT