:::     :::

เธอ...ผู้ไม่แพ้

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2567 คอลัมน์ ในกะลาครอบ โดย พาสต้า
856
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ที่แขนของ ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ มีรอยสักคำว่า "never give up"

สำหรับกองหลังวัย 22 ปี ของ อาร์เซน่อล และทีมชาติอิตาลี รอยสักนี้เป็นสิ่งเตือนใจว่าเขาเกือบที่จะไม่บรรลุความฝันในการเป็นนักฟุตบอล

ย้อนไปเมื่อตอนอายุ 16 ปี คาลาฟิออรี่ ได้รับบาดเจ็บหัวเข่าอย่างรุนแรงขณะลงเล่นในเกมยูฟ่า ยูธ ลีก ให้ โรม่า ซึ่งทำให้เอ็นหัวเข่าทั้งหมดฉีกขาด

อาการของเขาแย่มากจนเขากลัวว่าตัวเองจะกลับมาเตะบอลไม่ได้ หรือกระทั่งเดินแบบปกติไม่ได้ด้วยซ้ำ

"นี่คือรอยสักแรกของผม และมันก็มาจากเหตุผลนี้นี่แหละ" เขากล่าว

"มันยากมาก ตอนผมอายุ 16 ปี คุณจะเริ่มคิดว่าผมสามารถเล่นฟุตบอลได้อีกต่อไปแล้ว"

แต่ คาลาฟิออรี่ ก็กลับมาลงสนามได้อีกครั้ง และในช่วงซัมเมอร์ เขาก็ทำให้ความฝันสำหรับการลงเล่นในพรีเมียร์ลีกเป็นจริง โดยย้ายไปร่วมทีม อาร์เซน่อล ในราคา 42 ล้านปอนด์

เขาได้เปิดเผยเกี่ยวกับการย้ายมายังทีม ปืนใหญ่, การเรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่าน Netflix และ UK Dril Music รวมถึงแสดงความคิดเห็นของเขาต่อปลาและมันฝรั่งทอด


'ไม่ต้องกลัว หลังการฟื้นตัวและคำแนะนำจาก เด รอสซี่

มันอาจไม่ได้รู้สึกแบบนั้นในตอนนั้น แต่การบาดเจ็บที่รุนแรงนั้นคือสิ่งที่ คาลาฟิออรี่ ให้เครดิตในการทำให้เขาสามารถกลายเป็นผู้เล่นอย่างที่เขาเป็นอยู่ในทุกวันนี้

"คุณชื่นชมสิ่งเล็กๆ น้อยๆ มากขึ้น และคุณเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ มันช่วยให้ผมกลายเป็นนักเตะที่ดีขึ้น" เขาอธิบาย

"ผมจำได้ว่าเดือนแรกที่ผมกลับมา ผมต้องเผชิญหน้ากับการดวลทุกครั้งอย่างบ้าคลั่ง ผมไม่กลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว"

ระหว่างที่เขาพักฟื้น ดานิเอเล่ เด รอสซี่ ตำนาน โรม่า และทีมชาติอิตาลี มาเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลเป็นประจำ ซึ่งเขายังเป็นคนช่วยยกดาวรุ่งในเวลานั้นอย่าง คาลาฟิออรี่ ระหว่างการกายภาพบำบัดด้วย

คาลาฟิออรี่ ไม่เพียงแค่มอง เด รอสซี่ เป็นแบบอย่างในฐานะนักเตะเท่านั้น เพราะเคยใฝ่ฝันที่จะได้เล่นเคียงข้างเขาเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก แต่ทั้งคู่ยังกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอีกด้วย โดยเขายังมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเรื่องอาชีพของ คาลาฟิออรี่ จนถึงทุกวันนี้

"เขาเป็นหนึ่งในเพื่อนของผม และผมมักจะถามเขาเกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดของผม และเขาก็ให้คำแนะนำที่ดีกับผมเสมอ" คาลาฟิออรี่ กล่าวเสริม

"ผมได้คุยกับเขาเกี่ยวกับการย้ายมา อาร์เซน่อล และเขาก็บอกว่านี่คือโอกาสที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในการพัฒนาตัวเองในฐานะนักเตะ"


'เติบโต' กับการย้ายไปเล่นต่างแดนและธุรกิจที่ยังไม่เสร็จ

คาลาฟิออรี่ ใช้เวลาเกือบหนึ่งปีเต็มในการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ แต่เส้นทางอันยาวไกลสู่อาชีพนักฟุตบอลก็สำเร็จในเดือนสิงหาคม ปี 2020 เมื่อเขาประเดิมสนามให้กับ โรม่า

เขาลงเล่นในเกมเซเรีย อา กับสโมสรอิตาลีไป 10 นัด และถูกปล่อยยืมไป เจนัว ก่อนที่จะตัดสินใจย้ายไป บาเซิ่ล ในสวิตเซอร์แลนด์แบบถาวรเมื่อปี 2022

"นั่นคือการเลือกดีที่สุดที่ผมเคยทำมา" คาลาฟิออรี่ กล่าว

"การย้ายไปต่างแดน คุณได้เรียนรู้มากมายทั้งในฐานะผู้เล่นและฐานะชายคนหนึ่ง"

"นี่เป็นครั้งแรกที่ผมต้องอาศัยอยู่คนเดียวนอกประเทศ คุณต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ถ้าคุณมีวันที่แย่ คุณก็จะต้องอยู่คนเดียว"

"พวกเขาให้โอกาสผมได้รู้สึกเหมือนเป็นนักเตะครั้งแรก ผมรู้สึกว่าตัวเองสำคัญสำหรับสโมสรแห่งนี้"

คาลาฟิออรี่ ใช้เวลาหนึ่งฤดูกาลกับ บาเซิ่ล แต่เนื่องจากไม่สามารถแจ้งเกิดกับสโมสรแรกอย่าง โรม่า ได้ เขาจึงรู้สึกว่ามีงานที่ยังไม่เสร็จในบ้านเกิด เขาจึงตัดสินใจย้ายไป โบโลญญ่า

"ผมอยากพิสูจน์ให้แฟนบอลในเซเรีย อา ได้เห็นว่าผมไม่ใช่ผู้เล่นที่เคยเล่นที่นั่นมาก่อน ผมอยากพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาคิดผิด" เขากล่าว

นั่นพิสูจน์ใหเห็นว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะเขาได้กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของสโมสรอิตาลีอย่างรวดเร็ว โดยช่วยให้พวกเขาได้เล่นแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี

คาลาฟิออรี่ ยกเครดิตให้กับกุนซือ โบโลญญ่า ในตอนนั้นอย่าง ติอาโก้ ม็อตต้า ที่ช่วยให้อาชีพของเขาเริ่มต้นขึ้นได้ โดยเปลี่ยนเขาจากแบ็กซ้ายมาเป็นปราการหลังตัวกลาง

"ฤดูกาลที่แล้วเป็นฤดูกาลดีที่สุดของผม" คาลาฟิออรี่ กล่าว

"โค้ชช่วยผมมาก เขาเป็นคนแรกที่ให้ผมเล่นเซนเตอร์แบ็ก หลังจากที่ผมเล่นแบ็กซ้ายมาโดยตลอด จากนั้นผมก็มีฤดูกาลที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา"


ทริปเที่ยวลอนดอนทำให้ คาลาฟิออรี่ ตัดสินใจย้ายมา อาร์เซน่อล

สำหรับ คาลาฟิออรี่ การเดินทางไปเที่ยวยังกรุงลอนดอนในเดือนมกราคม ซึ่งรวมถึงการไปเยือนสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เพื่อชมเกมของ อาร์เซน่อล ถือเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาได้ร่วมทีม ปืนใหญ่

"ผมเดินทางมาที่นี่โดยบังเอิญ ผมไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน" เขากล่าว

"อาร์เซน่อล กำลังเล่นกับ คริสตัล พาเลซ พวกเขาชนะ 5-0 ตอนนั้นผมไม่คิดที่จะมาเล่นในพรีเมียร์ลีกด้วยซ้ำ"

4 เดือนต่อมาซึ่งคือเดือนพฤษภาคม เขาพูดคุยกับ มิเกล อาร์เตต้า ผู้จัดการทีม อาร์เซน่อล เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการย้ายมายัง เดอะ กันเนอร์ส

"เขาเขียนมาหาผมก่อน จากนั้นจึงถามว่าผมโทรคุยกับคุณได้ไหม" คาลาฟิออรี่ กล่าวเสริม

"มันเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์ที่สุภาพและเป็นกันเองมาก เขาต้องการอธิบายสถานการณ์และสิ่งที่พวกเเขาคิดเกี่ยวกับผม สิ่งที่ผมสามารถปรับปรุงได้"

"เขาพยายามโน้มน้าวผม แต่ผมก็โน้มน้าวใจตัวเองไปแล้ว ไม่ใช่แค่เพราะว่ามันคือ อาร์เซน่อล แต่เพราะมันคือ มิเกล"

เมื่อได้ก้าวขึ้นไปยังทีมชาติอิตาลีชุดใหญ่ครั้งแรกเมื่อต้นปีนี้ คาลาฟิออรี่ ก็ทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่ยูโร หลังจากที่เขาได้รับเลือกให้อยู่ทีม

ในขณะที่รับใช้ทีมชาติอิตาลี เขาได้คุยกับ จอร์จินโญ่ กองกลาง เดอะ กันเนอร์ส มากขึ้น ซึ่งช่วยโน้มน้าวให้เขาเชื่อว่าการย้ายมายังถิ่นเอมิเรตส์เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และเขาก็ตัดสินใจย้ายทีมในวันที่ 29 กรกฎาคม

"ในช่วงการซ้อมครั้งแรก ผมคิดว่า 'นี่มันจริงรึเปล่านะ' เมื่อเห็นโลโก้ของ เดอะ กันเนอร์ส ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้..."

"มันเป็นการเดินทางที่น่าทึ่งมาก"

อาการบาดเจ็บระหว่างรับใช้ทีมชาติทำให้การเริ่มต้นชีวิตของเขากับ ปืนใหญ่ ต้องหยุดชะงัก แต่เขาก็ได้ประเดิมสนามแบบเต็มเมื่อวันที่ 22 กันยายน เกมพบกับ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งเป็นคู่แข่งลุ้นแชมป์ลีก และยิงประตูสุดเหลือเชื่อในสามเหลี่ยมมุมบน

"เมื่อบอลมาถึงผม ผมคิดว่าก็แค่ซัดมันให้เข้าไปในสิ่งที่คุณเรียกว่า 'top bins' (สำนวนอังกฤษที่หมายถึงลูกยิงเสียบสามเหลี่ยม)"

แม้ว่าการยิงของเขาจะสมบูรณ์แบบ แต่เขาก็ยอมรับว่าการฉลองด้วยการชี้นิ้วนั้นไม่ได้มีความหมายอะไร และรู้สึก 'อาย' เมื่อมองย้อนกลับไป

"มันไม่ใช่ตัวผมเองเลยที่วิ่ง หัวผมแบลงก์ไปเลย มันเหมือนเป็นอีกคน!" เขากล่าวพร้อมหัวเราะ


การเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากการฝึกจาก UK drill และการกินปลากับมันฝรั่งทอด

นอกจากการใช้สำนวน "top bins" แล้ว ภาษาอังกฤษของ คาลาฟิออรี่ ก็สร้างความประทับใจได้มากเช่นกัน

"ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก ผมมีความหลงใหลในการเรียนรู้ภาษาต่างๆ มาโดยตลอด และได้เริ่มเรียนรู้จาก Netflix และเนื้อเพลงใน UK drill

"ผมยังคงเรียนรู้และอยากจะพัฒนาตัวเอง"

ตอนนี้ในอังกฤษ เขาตั้งใจที่จะทุ่มเทให้กับวัฒนธรรมและฟุตบอล และแม้ว่าเขาจะออกจากประเทศที่มีประวัติศาสตร์เรื่องอาหารการกินอันยาวนาน แต่เขากลับพบว่าตัวเองเพลิดเพลินกับอาหารที่นี่

"ผมคิดว่าอาหารในอังกฤษจะแย่กว่านี้นะ แต่มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น" เขากล่าว

"ปลาและมันฝรั่งทอด ผมพยายามที่จะกินเดือนละครั้ง บางทีคุณอาจจะทำได้ แต่มันไม่ดีต่อสุขภาพ"

"ผมอยากสัมผัสประสบการณ์ทั้งหมด ผมอยากจะกลายเป็นคนอังกฤษและโอบรับมัน"


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด