น้ำต้มผักแสนหวาน
นั่นใช้ได้เลยกับชีวิตของ ซาดิโอ มาเน่ ในรั้วแอนฟิลด์
ย้อนเวลากลับไปในฤดูกาลที่แล้ว ใครคือนักเตะโดดเด่นที่สุดในทีมลิเวอร์พูล
มาเน่ น่าจะเป็นคำตอบสุดท้าย และท้ายที่สุดอย่างไม่ต้องขมวดคิ้วสงสัย
นั่นคือการซื้อตัวแห่งซีซั่น 2016-17 เงินจำนวน 34 ล้านปอนด์กับซัมเมอร์แรกของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องบอกว่าได้คุ้มเสียจริงๆ
เขาไม่ใช่คนหล่อ
เขาไม่ใช่คนเท่
แต่เขาคือหนึ่งคนที่บรรดาเดอะ ค็อปรักมากที่สุด
จาก 27 เกมในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่แล้ว ดาวเตะเชื้อสายเซเนกัลยิงไป 13 ประตูทั้งที่เล่นในตำแหน่งปีกขวา
ฟอร์มอันร้อนแรง บวกจำนวนสกอร์ที่เขาลั่นไกออกมาเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ ลิเวอร์พูล คัมแบ็กสู่แชมเปี้ยนส์ลีกได้อีกหน
และนั่นคือเรื่องจริงที่ มาเน่ ได้กลายเป็นความหวังอันดับหนึ่งของทีมไปเรียบร้อย
กระทั่ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก้าวเท้าเข้ามาสวมยูนิฟอร์มหงส์แดง และ มาเน่ ลืมลีลาการเล่นอันจัดจ้านไว้กับปีก่อน
ย้อนกลับไปในช่วงปลายปีที่แล้ว ลิเวอร์พูล เดินทางไปเยือนเซาธ์โคสต์เพื่อเผชิญหน้ากับทีมของ เอ็ดดี้ ฮาว
ช่วงนั้นฟอร์มของหงส์แดงกำลังขึ้นหม้อ โดยเฉพาะเกมนอกบ้านที่ทำได้ดีอย่างผิดหูผิดตา ขณะที่ทั้ง ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ก็เริ่มติดเครื่องกันแล้ว มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ 4 จาก 5 นัดนอกบ้านหลังสุดในลีกเวลานั้น ทีมของ คล็อปป์ จะยิงได้อย่างต่ำนัดละ 3 ลูก
และการเจอ บอร์นมัธ หนนั้น ลิเวอร์พูล ถล่มขาดวิ่น 4-0
ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ซึ่งยังเป็นคนรักคุ้นหน้าอยู่ลั่นไกประตูแรก ซาลาห์ กับ ฟีร์มีโน่ ก็มีชื่อ ขนาด เดยัน ลอฟเรน ยังยิงได้
แต่!!!
มาเน่ ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งตบยุงอยู่บนม้านั่งสำรอง และเกมนั้นเขาก็ไม่ถูกส่งลงสนามทั้งที่โปรแกรมก็ยังไม่ได้ถี่ยิบอะไรเลย
มันเริ่มตะขิดตะขวงใจมาตั้งแต่สัปดาห์ก่อนหน้าแล้ว ในเกมที่ถล่ม ไบรท์ตัน 5-1 แข้งวัย 26 ปีก็ทำได้เพียงมีชื่อเป็นตัวสำรองที่ไม่ถูกส่งลงสนาม ขณะที่ย้อนหลังไปอีก 7 วันก่อนหน้า เขาก็โดนส่งลงมาสัมผัสฟลอร์หญ้าแค่เพียงนาทีเดียวเท่านั้นในนัดเปิดบ้านเสมอ เชลซี
หมดแล้วมั้ง!!!
เด็กหงส์ข้างเคียงบางคนบนฐานบัญชาการซอคเกอร์พูดขึ้นมาลอยๆ
ไม่ใช่แค่คนอื่น แต่ขนาดตัวผมยังคิดในใจเลยว่านี่อาจไม่ใช่ปีของ มาเน่ แน่ๆ นอกจากการพังประตูในช่วงนั้นที่หดหาย เขายังเล่นได้ไม่เข้าระบบ ดูขัดหูขัดตาไปเสียทุกอย่างที่พยายามจะทำ
แม้ช่วงออกสตาร์ทซีซั่นจะร้อนแรงเกินห้ามใจด้วยการลั่นไกได้ตลอด 3 นัดแรก ทว่าหลังผลัดเปลี่ยนเป็นเข้าฤดูใบไม้ผลิเท่านั้นเอง ทุกอย่างพลิกทันที
เขาโดนไล่ออกในเกมเจอ แมนฯ ซิตี้ เมื่อเดือนกันยายน จากนั้นก็เจออาการบาดเจ็บเอ็นหลังหัวเข่ารุมเร้าเล่นงานในช่วงที่เดินทางไปรับใช้ทีมชาติ พอกลับมาแล้วไม่สมบูรณ์มันก็ทำให้ความต่อเนื่องขาดหาย
แต่ก็อีกนั่นแหละ
ถึง มาเน่ จะไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่เข้าฝักของตัวเองจนหลายคนพากันส่ายหน้าหนี ทว่าหากดูให้ลึกในรายละเอียดจริงๆ ปีกความเร็วสูงรายนี้สถิติการเล่นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีเลย ช่วงเวลานานที่สุดที่เขายิงหรือแอสซิสต์ไม่ได้ในพรีเมียร์ลีกเกิดขึ้นเพียงแค่ 3 นัดติดในเดือนธันวาคมเท่านั้นเอง
เริ่มจากเกมกับ เอฟเวอร์ตัน ที่เขาโดนตราหน้าว่า 'ไอ้คนบาป' ที่พยายามลากเลื้อยบอลไปยิงเอง ทั้งที่ ซาลาห์ ยืนว่างอยู่โล่งๆ สุดท้ายยิงไปไหนไม่รู้
กระแสโจมตีหนักขึ้นจนเป็นข่าวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์ว่าสองสตาร์อย่าง มาเน่ กับ ซาลาห์ ไม่กินเส้นกัน คือจะสื่อประมาณว่าปีก่อนกูเคยสำคัญ แต่มาปีนี้ทำไมมึงสำคัญมากกว่ากู
สื่อหลายเจ้าเล่นประเด็นว่า มาเน่ เกิดอาการใจน้อย น้อยใจที่โดน ซาลาห์ แย่งซีนพระเอกไปจนหมด แถมยังมาแย่งตำแหน่งปีกขวาที่เล่นมาทั้งซีซั่นก่อนจนตัวเองต้องขยับไปยืนทางกราบซ้ายแทน
แม้กองเชียร์อย่างเราจะไม่อยากเชื่อถือ แต่การกระทำในสนามของยอดแข้งเซเนกัลนั้นทำให้คิดเป็นอื่นหาได้ไม่
กระนั้นด้วยความจุกอกจนทนไม่ไหว ทั้งตัวเขา, ซาลาห์ และ คล็อปป์ เองก็รวมตัวกันยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดมันเหลวไหลทั้งเพ และ มาเน่ ก็ไม่เคยเป็นคนที่มีความคิดอะไรแบบนี้ในหัวด้วย
จริงไม่จริงไม่รู้ แต่การเคลียร์ใจน่าจะมีในทีม
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในเกมที่ชนะ เลสเตอร์ 2-1 ในวันสิ้นปี มาเน่ จ่ายให้ ซาลาห์ ยิงได้ เหมือนเป็นการตบหน้าเสียงวิจารณ์ทั้งหลายให้ดับสิ้นไป
จากนั้นวันปีใหม่เขาก็ช่วยให้ทีมบุกเอาชนะ เบิร์นลี่ย์ 2-1 ด้วยการมีชื่อเป็นผู้พังประตู
นับจากนั้น เขาก็ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในทุกๆ เกม และกลับมาเป็นคนสำคัญของทีมอีกครั้งสำหรับการไล่ล่าโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีก
จะเรียกว่าฟอร์มขึ้นหม้อเลยก็ได้ เพราะจาก 21 นัดที่ลงเล่นในช่วงระหว่างนี้ เขายิงไป 10 ประตู และทำอีก 5 แอสซิสต์ด้วยกัน
แต่ผลงานเหล่านี้มันไม่ได้บอกถึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเขาเลย พวกนักเก็บสถิติไม่ได้ยกตัวอย่างความขยันในเกมรับ รวมถึงความโดดเด่นในนัดโค่น แมนฯ ซิตี้ จนกระทั่งได้ประตูอะเวย์โกลสำคัญจาก โม ซาลาห์
หากจะคิดว่าเขาฟอร์มแย่กว่าปีก่อนก็ให้คิดเสียใหม่ เพราะขณะนี้ มาเน่ ยิงไปแล้วถึง 17 ลูกจากทุกรายการ แม้มันอาจจะถูกกลบรัศมีด้วยตัวเลข 40 ของ ซาลาห์ และ 25 ของ ฟีร์มีโน่ แต่กับจำนวน 82 เม็ดจาก 3 ตัวบนรวมกัน มันทำให้ มาเน่ กลายเป็นส่วนสำคัญของแนวรุกที่สง่างามที่สุดแห่งยุคในประวัติศาสตร์สโมสร
ขอให้ลืมช่วงเวลา 12 เดือนก่อนหน้านี้ที่ปีกทีมชาติเซเนกัลโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานให้หมดสิ้น เพราะจากนี้ เราจะได้เห็นเขายืนตระง่านกับแผงหน้าบ้านในการช่วยทีมไปให้ไกลที่สุดในถ้วยบิ๊กเอียร์
แม้ตลอดช่วงครึ่งซีซั่นแรกที่อะไรๆ ก็พากันยุ่งเหยิงไปหมด แต่ คล็อปป์ ก็ยังคงไว้วางใจ และเชื่อมั่นใจตัวของ มาเน่ ไม่เสื่อมคลาย ซึ่งเขาก็ได้ตอบแทนให้ คล็อปป์ ได้เห็นถึงความคุ้มค่าแล้ว
ถึงนาทีนี้จะอะไรก็คงหยุด มาเน่ ไม่อยู่แล้ว
และน้ำต้มผักหม้อนั้นก็ได้กลับมาหวานดังเดิมอีกครั้ง
พาสต้า
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT