:::     :::

เนชั่นส์ ลีก...อะไร ยังไง

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
แฟนบอลหลายคนเกาหัวแกรกๆ เมื่อได้ยินชื่อทัวร์นาเมนต์ใหม่เอี่ยมอ่องของทีมชาตินามว่า "ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก" เป็นครั้งแรก

ไอเดียในการจัดเริ่มจากตรงไหน มีกฎ-กติกาอย่างไร แล้วมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง วันนี้มาไล่เรียงกันอย่างละเอียด  

------

"ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก" หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า "เนชั่นส์ ลีก" เป็นรูปแบบการแข่งใหม่ที่นำเสนอโดยสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า 

แรงจูงใจสำคัญคือ อยากปรับเปลี่ยนเกมกระชับมิตรทีมชาติที่มีอยู่ทุกวันนี้ให้น่าสนใจและดึงดูดใจมากขึ้น ไม่ชวนง่วงหงาวหาวนอนเหมือนที่ผ่านมา 

อีกทั้งยังมี "ตั๋ว" ไปลุยรอบสุดท้ายยูโร 2020 มากถึง 4 ใบให้ได้ลุ้น รวมถึงเงินรางวัลอีกพอสมควรซึ่งสำหรับชาติเล็กๆ แล้วถือว่าไม่น้อย 

นอกจากนี้ยังเป็นการแข่งเพื่อจัดอันดับก่อนนำไปสู่การแบ่งกลุ่ม ยูโร 2020 รอบคัดเลือกอีกด้วย 

เรียกได้ว่ามีความสำคัญมากกว่านัดอุ่นเกือกทั่วไปพอสมควร 

ชื่อ "เนชั่นส์ ลีก" บอกกลายๆ อยู่แล้วว่ามีความคล้ายการแข่งขันแบบ "ลีก" ในระดับสโมสรคือ แข่งแบบเก็บคะแนน แยกกันเตะเป็นหลายลีก และมีการเลื่อนชั้น-ตกชั้น 

เนชั่นส์ ลีก แบ่งเป็น 4 ลีก ประกอบด้วย A, B, C และ D โดยใช้แค่สัมประสิทธิ์ของเดือนธันวาคมปี 2017 เป็นเกณฑ์ในการแบ่งแต่ละชาติไปอยู่ตามลีกต่างๆ 

ชาติที่ค่าสัมประสิทธิ์สูงๆ ซึ่งก็พวกชาติยักษ์ใหญ่นั่นแหละก็จะรวมกันอยู่ในลีก A 

ชาติเกรดรองลงมาหน่อยก็อยู่ B และ C ไล่ระดับลงไปเรื่อยๆ จนถึงลีก D ที่เต็มไปด้วยบรรดาหมูน้อยของยุโรป 

การแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่มเริ่มไปแล้วเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา นำร่องด้วย "บิ๊กแมตช์" เยอรมันกับฝรั่งเศสที่เสมอกันไป 0-0 และจะมีไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนของปีนี้ 


ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก แบ่งเป็น 4 ลีก ลีกละ 4 กลุ่ม 

ในแต่ละลีกก็จะมีแยกย่อยออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่ม 1, 2, 3 และ 4 โดยลีก A และ B มีลีกละ 12 ทีม แต่ลีก C มี 15 ทีม ขณะที่ลีก D มี 1ุุ6 ทีม


ลีก A

กลุ่ม 1 : เยอรมนี, ฝรั่งเศส, ฮอลแลนด์ 

กลุ่ม 2 : เบลเยียม, สวิตเซอร์แลนด์, ไอซ์แลนด์ 

กลุ่ม 3 : โปรตุเกส, อิตาลี, โปแลนด์ 

กลุ่ม 4 : สเปน, อังกฤษ, โครเอเชีย


รูปแบบการแข่งขันของลีก A จะเป็นการพบกันหมดเหย้า-เยือนกับทีมร่วมกลุ่ม รวม 4 นัด ทีมที่มีคะแนนมากสุดเป็นแชมป์กลุ่ม โดยแชมป์กลุ่มของลีก A ทั้ง 4 ทีมจะได้ไปเล่นรอบ Finals เพื่อล่าถ้วยแชมป์และเงินรางวัลที่เปรียบเหมือนโบนัสเฉพาะลีก A ลีกเดียว 

รอบ Finals ของลีก A ก็จะประกบคู่แข่งในรอบรองชนะเลิศ หาผู้ชนะไปเจอกันในรอบชิงชนะเลิศ ส่วนผู้แพ้ไปชิงอันดับ 3 โดยแข่งกันที่ประเทศใดประเทศหนึ่งที่ได้เข้ารอบ ระหว่างวันที่ 5-9 มิถุนายน 2019 


ลีก B

กลุ่ม 1 : สโลวาเกีย, ยูเครน, สาธารณรัฐเช็ก 

กลุ่ม 2 : รัสเซีย, สวีเดน, ตุรกี 

กลุ่ม 3 : ออสเตรีย, บอสเนียฯ, ไอร์แลนด์เหนือ 

กลุ่ม 4 : เวลส์, ไอร์แลนด์, เดนมาร์ก 


ลีก C

กลุ่ม 1 : สกอตแลนด์, แอลเบเนีย, อิสราเอล 

กลุ่ม 2 : ฮังการี, กรีซ, ฟินแลนด์, เอสโตเนีย 

กลุ่ม 3 : สโลวีเนีย, นอร์เวย์, บัลแกเรีย, ไซปรัส 

กลุ่ม 4 : โรมาเนีย, เซอร์เบีย, มอนเตเนโกร, ลิทัวเนีย 

ลีก D

กลุ่ม 1 : จอร์เจีย, ลัตเวีย, คาซัคสถาน, อันดอร์ร่า 

กลุ่ม 2 : เบลารุส, ลักเซมเบิร์ก, มอลโดว่า, ซาน มารีโน่ 

กลุ่ม 3 : อาเซอร์ไบจาน, หมู่เกาะแฟโร, มอลตา, โคโซโว

กลุ่ม 4 : มาซิโดเนีย, อาร์เมเนีย, ลิกเตนสไตน์, ยิบรอลตาร์ 

รูปแบบการแข่งขันของลีก B, C และ A ก็เหมือนกับลีก A คือเหย้า-เยือนกับทีมร่วมกลุ่ม รวมเป็น 4 นัด แต่จะไม่มีรอบ Finals เหมือนลีก A ส่วนทีมที่เป็นแชมป์แต่ละกลุ่มจะได้ไปเล่นรอบเพลย์ออฟซึ่งเป็นรอบที่ได้ลุ้นตั๋วรอบสุดท้ายยูโร 2020 

-----

ทีมที่เป็นบ๊วยของแต่ละกลุ่ม รวมเป็น  4 ทีมต่อ 1 ลีก จะหล่นไปลีกรอง เช่น 4 ทีมที่เป็นบ๊วยจาก 4 กลุ่มของลีก A หล่นไป ลีก B ส่วน 4 ทีมบ๊วยของ ลีก B ก็หล่นไป ลีก C และ 4 ทีมบ๊วยของลีก C หล่นไป ลีก D ขณะที่ 4 ทีมห่วยสุดของลีก D หล่นไปไหนไม่ได้อีกแล้วเพราะอยู่ลีกต่ำสุด

ในทางตรงกันข้าม ทีมที่เป็นแชมป์กลุ่มทั้ง 4 กลุ่มของแต่ละลีกจะได้เลื่อนชั้นขึ้นลีกที่สูงกว่า ยกเว้นทีมแชมป์กลุ่มของ ลีก A ที่อยู่ในลีกสูงสุดอยู่แล้ว (ก็เหมือน พรีเมียร์ลีก, ลา ลีกา ฯลฯ นั่นแหละ)

ทีนี้มาว่ากันถึงกฎเกณฑ์ในการลุ้นตั๋วยูโร 2020 ผ่านเส้นทางเนชั่นส์ ลีก โดยที่ต้องพูดถึงรอบคัดเลือกจริงๆ ของยูโร 2020 ด้วยเพราะเกี่ยวข้องกัน 

ยูโร 2020 รอบสุดท้ายจะมี 24 ทีม (ไม่มีเจ้าภาพรอบสุดท้ายเพราะปรับรูปแบบกระจายเตะ 12 ประเทศทั่วยุโรป) การคัดเลือกแบบเดิมยังคงเป็นเส้นทางหลักในการหาทีมไปเล่นรอบสุดท้ายเพราะจะคัดเอา 20 ทีม ส่วนอีก 4 ทีมก็เป็นโควตาผ่านเนชั่นส์ ลีกนั่นเอง

เพื่อไม่ให้สับสนกลับเนชั่นส์ ลีก ในรอบแรกหรือรอบแบ่งกลุ่มที่ไล่เรียงไปข้างต้น รอบที่ชิงตั๋วไปยูโร 2020 จะเรียกว่ารอบ "เพลย์ออฟ" ซึ่งแข่งแค่ 2 วันคือในวันที่ 26 และ 31 มีนาคม 2020 

ระหว่างรอบแรก/แบ่งกลุ่มที่แข่งจัดอันดับและยังไม่ได้ชิงตั๋วยูโร 2020 กับรอบเพลย์ออฟที่ชิงตั๋วยูโร 2020 จะมีรอบคัดเลือกจริงๆ ของยูโร 2020 แทรกตรงกลาง

รอบคัดเลือก ยูโร 2020 จะเริ่มในเดือนมีนาคม 2019 สิ้นสุดในเดือนพฤศจิกายน 2019 แบ่งเป็น 10 กลุ่ม บางกลุ่มก็มี 5 ทีม บางกลุ่มก็มี 6 ทีม 

จากนั้นก็แข่งแบบพบกันหมดเหย้า-เยือน ทีมแชมป์กลุ่ม และรองแชมป์กลุ่ม รวมเป็นทั้งหมด 20 ทีม ผ่านเข้ารอบสุดท้ายทันที จบภารกิจสบายตัวกันไป

ง่ายๆ เลยคือ เราจะได้เห็นหน้าตาของ 20 ทีมที่เข้ารอบสุดท้าย ยูโร 2020 เรียบร้อยทั้งหมด จากนั้นค่อยมาลุ้นอีก 4 ทีมผ่านโควตาเนชั่นส์ ลีก ซึ่งจะแข่งช่วงประมาณ 3 เดือนก่อนรอบสุดท้ายเปิดฉากอย่างที่บอกไป 

รอบเพลย์ออฟของเนชั่นส์ ลีก เพื่อลุ้นตั๋วอีก 4 ใบจะมีทั้งหมด 16 ทีมซึ่งก็เป็นทีมแชมป์กลุ่มจาก 4 ลีก ลีกละ 4 ทีม 

หากทีมแชมป์กลุ่มใดได้ตั๋วรอบสุดท้ายผ่านรอบคัดเลือกปกติไปแล้ว สิทธิ์ดังกล่าวจะตกเป็นของทีมที่ผลงานดีสุดและยังไม่ได้ไปรอบสุดท้ายยูโร ไล่ลงไปเรื่อยๆ ซึ่งแนวโน้มมีโอกาสเป็นแบบนี้สูง

ตัวอย่างเช่น เยอรมนี เป็นแชมป์กลุ่ม 1 ของลีก A ในเนชั่นส์ ลีก (เดือนพฤศจิกายน 2018 ก็รู้แล้ว) แต่เวลาต่อมาก็คว้าตั๋วรอบสุดท้ายยูโร 2020 ผ่านทางรอบคัดเลือก (มีนาคม-พฤศจิกายน 2019) สิทธิ์ในรอบเพลย์ออฟตรงนี้ก็จะตกเป็นของทีมที่ดีที่สุดในลีก A ที่ยังไม่ได้ตั๋วซึ่งอาจเป็น ฝรั่งเศส หรือ ฮอลแลนด์ ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน หรือเป็นจากกลุ่มอื่น (โปรตุเกส/เบลเยียม/สเปน/อังกฤษ เป็นต้น)  

สมมุติว่าได้ทั้ง 16 ทีมเรียบร้อย (ย้ำอีกครั้งว่าเป็น 16 ทีมที่ยังไม่ได้ตั๋วรอบสุดท้ายยูโร 2020 ผ่านรอบคัดเลือกปกติ) ก็จะแข่งในรอบเพลย์ออฟ

4 ทีมจากลีก A ประกบคู่แข่งรอบรองชนะเลิศ ผู้ชนะได้ชิงชนะเลิศ และทีมชนะเลิศได้ตั๋วไปรอบสุดท้ายยูโร 2020 

ลีก B ก็แข่งเฉพาะลีก B แค่ 2 นัดรู้เรื่อง เช่นเดียวกับลีก C และ ลีก D ไม่มีการผสมข้ามลีก

ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะยูฟ่าต้องการเพิ่มโอกาสให้ชาติเล็กๆ ได้ไปรอบสุดท้ายยูโร 2020 เพราะหากไปลุ้นในรอบคัดเลือกปกติที่มีอยู่แล้วก็คงสู้ทีมใหญ่ลำบาก แต่หากลุ้นผ่านเพลย์ออฟก็จะเจอทีมเกรดเดียวกัน โอกาสแพ้-ชนะพอๆ กัน 

ดั้งนั้นลีก A, B, C และ D จะมีลีกละ 1 ชาติที่เข้ารอบสุดท้ายยูโร 2020 และเข้าไปรวมกับ 20 ทีมที่เข้าไปก่อนแล้ว เป็นอันครบองค์ประชุม 24 ทีม


ช่วงเวลาการแข่งขันเนชั่นส์ ลีก และยูโร 2020 รอบคัดเลือก

ส่วนรอบสุดท้ายยูโร 2020 ที่ปรับรูปแบบแข่งกระจายทั่วยุโรป อย่าเพิ่งไปสนใจในตอนนี้ ยังมีเวลาอีกเยอะในการดูรายละเอียด

เอาแค่เนชั่นส์ ลีก ตรงนี้ให้เคลียร์ก่อนเพราะเหมือนจะง่ายแต่รายละเอียดก็ยิบย่อยมากมายทีเดียว

ส่วนเงินรางวัลที่ยูฟ่าจัดสรรให้เป็นดังนี้

เบื้องต้น...ทุกทีมจากลีก A รับไปทีมละ 1.5 ล้านยูโร

ลีก B รับไปทีมละ 1 ล้านยูโร, ลีก C ทีมละ 750,000 ยูโร และ ลีก D ทีมละ 500,000 ยูโร

แต่ถ้าเป็นแชมป์กลุ่มก็จะได้โบนัสเพิ่มเติม 

แชมป์กลุ่มจากลีก A ซึ่งมี 4 ทีม รับไปเพิ่มอีกทีมละ 1.5 ล้านยูโร 

แชมป์กลุ่มจากลีก B 4 ทีมรับไปทีมละ 1 ล้านยูโร, แชมป์กลุ่มจากลีก B 4 ทีมก็รับไปทีมละ 750,000 ยูโร และแชมป์กลุ่มจากลีก D อีก 4 ทีม รับไปทีมละ 500,000 ยูโร 

ส่วนลีก A ที่มีรอบ Finals ก็จะถ้วยแชมป์และเงินรางวัลให้ได้ไล่ล่าอีก

แชมป์รับไปเลย 4.5 ล้านยูโร รองแชมป์ได้ 3.5 ล้านยูโร อันดับ 3 ได้ 2.5 ล้านยูโร และอันดับ 4 ได้ 1.5 ล้านยูโร

นั่นหมายความว่า ทีมจากลีก A สามารถทำเงินได้ถึง 7.5 ล้านยูโรหากเป็นแชมป์ ส่วนทีมจากลีก B, C และ D เก็บได้สูงสุด 3 ล้านยูโร 

ทั้งรูปแบบการแข่งขันที่ช่วยเพิ่มอรรถรสมากกว่าเกมอุ่นเครื่องในอดีต อีกทั้งมีเงินรางวัล และตั๋วลุยรอบสุดท้ายยูโรให้ได้ลุ้น ล้วนเป็นไอเดียที่น่าสนใจทีเดียว 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังไม่มีอะไรการันตีว่า "ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก" จะเปรี้ยงปร้างติดลมบนแน่นอน ทุกอย่างต้องดูผลลัพท์สุดท้ายว่า "เวิร์ก" จริงๆ หรือไม่ 

หากไปได้สวย ผลตอบรับดีอย่างที่คาด รอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2022 ของโซนยุโรปก็อาจมีอีก รวมถึงยูโร 2024 

แต่หากล้มเหลว แฟนบอลไม่ได้อินด้วยเพราะรู้สึกว่าซับซ้อนเกินไป ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ก็จะจบแค่ตรงนี้

ครั้งแรกและครั้งเดียวเกินพอ

-----

คำถามที่เป็นไปได้ 

คำถาม : ตอนแข่งเนชั่นส์ ลีก รอบแรก/แบ่งกลุ่มจบแล้ว ทำไมไม่แข่งเพลย์ออฟเพื่อหา 4 ทีมไปเล่นรอบสุดท้ายยูโร 2020 ต่อเลย  ต้องมีคัดเลือกจริงๆ มาแทรกก่อนทำไม

คำตอบ : เพื่อให้ทุกทีมในรอบคัดเลือกยูโร 2020 ได้สู้กันอย่างจริงจัง หากมี 4 ทีมที่ได้ตั๋วไปแล้ว ทีมเหล่านั้นจะเอาจริงแค่ไหนและมันจะมีผลต่อโอกาสของทีมอื่นด้วย ดังนั้นตั๋วรอบสุดท้าย 20 ใบแรกจึงเป็นเหมือนรถไฟขบวนแรก หากพลาดขบวนนี้ก็ค่อยไปลุ้นอีกขบวนซึ่งก็คือเพลย์ออฟนั่นเอง 


คำถาม : ตอนจัดอันดับในกลุ่ม หากคะแนนเท่ากันต้องใช้กฎข้อใดตัดสิน 

คำตอบ : ในกรณีคะแนนเท่ากันก็ดูผลต่างประตูได้-เสีย, ประตูได้, ประตูได้นอกบ้าน, จำนวนนัดที่ชนะ, จำนวนนัดที่ชนะนอกบ้าน, คะแนนแฟร์เพลย์ ไปจนถึงค่าสัมประสิทธิ์


คำถาม : ในลีก C มีจำนวนทีมในแต่ละกลุ่มไม่เท่ากัน กลุ่ม 1 มี 3 ทีม แต่กลุ่ม 2, 3 และ 4 มี 4 ทีม การตกชั้นจะเป็นอย่างไร 

คำตอบ : ทีมที่จบอันดับ 4 หรือ "บ๊วย" ของกลุ่ม 2, 3 และ 4 จะตกชั้นลงไปลีก D แน่นอน อันนี้ไม่มีอะไรชวนสงสัย  แต่ทีมอันดับ 3 ของกลุ่ม 1 ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น "บ๊วย" เพราะอยู่อันดับสุดท้าย ทว่าไม่ได้หมายถึงต้องตกชั้นทันที 

เกณฑ์ที่ใช้ในการหาทีมโชคร้ายอีกทีมที่ตกชั้นคือ เอาอันดับ 3 ของแต่ละกลุ่มมาเทียบกันโดยไม่คิดคะแนนที่ทำได้ในการเจอทีมอันดับ 4 ของกลุ่ม 

ทีมอันดับ 3 ในกลุ่ม 1 ก็คิดคะแนนปกติเพราะมีแค่ 3 ทีม แต่ทีมอันดับ 3 ของกลุ่ม 2, 3 และ 4 จะไม่เอาคะแนนที่เจอทีมอันดับ 4 ของกลุ่มมารวมด้วย เพื่อไม่เป็นการเอาเปรียบอันดับ 3 ของกลุ่ม 1 

พอเอามาเทียบกันแล้ว ใครแย่สุดก็จะตายตกไปตามอีก 3 ทีมที่จบอันดับ 4  


คำถาม : โปรแกรมทับซ้อนกับรอบคัดเลือกยูโร 2020 หรือไม่

คำตอบ : ไม่, รอบแบ่งกลุ่มของ เนชั่นส์ ลีก จะจบในเดือนพฤศจิกายนของปีนี้ ส่วนรอบคัดเลือก ยูโร 2020 จะเริ่มในเดือนมีนาคมและจบในพฤศจิกายนปีหน้า ส่วนรอบ Finals ของเนชั่นส์ ลีก ที่แข่งในเดือนมิถุนายน ปี 2019 ก็จะมีเพียง 4 ทีมของลีก A เท่านั้นที่แข่ง ทีมอื่นจากลีก B, C และ D ก็จัดโปรแกรมอุ่นเครื่องแทนในช่วงพีฟ่าเดย์ 


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด