ก้าวสู่ยุคใหม่เต็มตัว
เอเมรี่ เคยทดลองระบบหลัง 3 มาบ้างในช่วงปรีซีซั่น แต่เกมยูโรปา ลีก ที่อาเซอร์ไบจานคือครั้งแรกที่นำมาใช้ในการแข่งขันจริงจัง
การเปลี่ยนทีมถึง 9 ตำแหน่งทำให้ เซอัด โคลาซินัช ได้ลงเล่นเป็นนัดแรกของฤดูกาลในตำแหน่งวิงแบ็กซ้าย ส่วน 3 เซนเตอร์ประกอบด้วย นาโช่ มอนเรอัล, ร็อบ โฮลดิ้ง และ โซคราตีส ปาปาสตาโธปูลอส ที่เพิ่งหายเจ็บกลับมา ส่วนวิงขวาเป็น สเตฟาน ลิชท์สไตเนอร์
ในช่วงเริ่มต้น "ไอ้รถถัง" บุกตะลุยกราบซ้ายและสร้างโอกาสให้เพื่อนได้เยี่ยม เริ่มตั้งแต่ช่วง 3 นาทีแรกที่เบียดกัปตันทีมคาราบักกระเด็นก่อนเปิดยัดเข้ากลางจนบอลถูกสกัดเข้าทาง มัตเตโอ เกวนดูซี่ ได้ยิงติดบล็อกออกหลังและกลายเป็นเตะมุมที่ มอนเรอัล ขึ้นโหม่งให้ โซคราตีส ตามน้ำระยะเผาคนเป็นประตูแรกของเกม
จากนั้นอีกสิบนาทีเศษ โคลาซินัช ก็เป็นคนเปิดจากฝั่งซ้ายเลยไปที่เสาไกล เอมิล สมิธ โรว์ เข้าช้าไปนิดเดียวเลยไม่สามารถบังคับบอลหักย้อนเข้ากรอบได้ทัน
เป็นการเริ่มต้นระบบ 3-4-3 ที่วูบวาบใช้ได้ สามารถโจมตีคู่แข่งในสไตล์แบบแมนฯ ซิตี้คือไปถึงสุดเส้นแล้วตบเข้ากลางตามสูตร
แต่การเติมสูงของ โคลาซินัช กลับเปิดรอยโหว่ด้านหลังตัวเองก่อนถึง นาโช่ มอนเรอัล จนกลายเป็นพื้นที่ให้คาราบักผลัดกันขึ้นมาโจมตีหลายครั้ง
โคลาซินัช มีปัญหากับการถอยลงมาช่วยเกมรับและยืนตำแหน่งหละหลวม โดนคู่แข่งพลิกหรือโยกนิดเดียวก็หลุดทันที
แบรนด์ เลโน่ ต้องออกแรงเซฟจะแจ้งถึง 2 ครั้งเพื่อรักษาสกอร์นำ 1-0 ของทีมในครึ่งแรก
หากเป็นทีมอื่นที่เกมรุกเฉียบคมกว่านี้ อาร์เซน่อลอาจไม่ได้ขึ้นนำคู่แข่งเป็นครั้งแรกของฤดูกาล
เอมิล สมิธ โรว์ ทำประตูแรกในการเล่นให้ชุดใหญ่อาร์เซน่อล
ไม่ต้องให้ใครบอกซ้ำ เอเมรี่ เห็นกับตาตัวเองว่าระบบการเล่นใน 45 นาทีแรกมีจุดอ่อนซ่อนอยู่ เขารีบเปลี่ยนกลับมาเล่นแบ็กโฟร์ที่ใช้มาตลอดในฤดูกาลนี้
นาโช่ มอนเรอัล ที่ลงเล่นมากกว่าใครเพื่อนในฤดูกาลนี้ถูกถอดออกไปพร้อมปรับให้ โคลาซินัช เล่นแบ็กซ้ายเต็มตัว พร้อมได้รับคำสั่งในห้องแต่งตัวไม่ต้องเติมมาก
ขณะเดียวกันก็ส่ง ลูคัส ตอร์เรยร่า ลงมาอัดเพิ่มตรงกลางช่วยงาน โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ และ มัตเตโอ เกวนดูซี่
เกมของอาร์เซน่อลกระชับรัดกุมมากขึ้น ตอร์เรยร่า ทำให้แดนกลางสมดุลและนิ่งกว่าเดิม พร้อมกับเบรกจังหวะโต้กลับของคาราบักได้เกือบตลอด
ในเกมรุกอาจเหลือเพียง 3 คนคือ แดนนี่ เวลเบ็ค, อเล็กซ์ อีโวบี้ และ เอมิล สมิธ โรว์ แต่ทั้งสามค่อนข้างอิสระ และรอจังหวะพุ่งไปในพื้นที่ว่างตลอดเวลา
ประตูนำ 2-0 เห็นชัด เลโน่ เตะสกัดโด่งสวนกลับจากกรอบ 6 หลาของตัวเองในขณะที่ผู้เล่นคาราบักหลายคนโหมเข้าไปในแดนอาร์เซน่อล อีโวบี้ เก็บได้จึงป้ายออกขวาโล่งๆ ให้ สมิธ โรว์ แตะเข้าไปยิง
เช่นเดียวกับประตู 3-0 ที่อาร์เซน่อลทำกันไม่กี่จังหวะ เมซุต โอซิล ที่ลงมาเป็นสำรองเก็บบอลได้หน้าเขตโทษก่อนเลี้ยงผ่านครึ่งสนามและถ่ายออกซ้ายให้ อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ อีกหนึ่งซูเปอร์ซับ เปิดยัดเข้ากลางอีกรอบให้ เกวนดูซี่
จังหวะนั้นอาร์เซน่อลสวนกลับขึ้นมา 4 คน ขณะที่ผู้เล่นคาราบักเหลือเพียง 3 พอมีตัววิ่งมาเสริมก็ช้าเกินกว่าที่จะตามบล็อกได้ทัน เกวนดูซี่ แตะแล้วยิงดีมากในจังหวะนี้
มัตเตโอ เกวนดูซี่ เปิดซิงในนัดนี้เช่นกัน
ทั้งสองทีมมีโอกาสยิงเข้ากรอบเท่ากันที่ 4 ครั้ง แต่เป็นอาร์เซน่อลได้ 3 ประตู ขณะที่โอกาสของคาราบักก็ถูกปฏิเสธโดย แบรนด์ เลโน่ ที่เก็บคลีนชีตให้ตัวเองได้เป็นนัดแรกกับการลงเล่นเต็มเกม
เอเมรี่ ได้บทเรียนอย่างหนึ่งว่าคุณภาพของทีมโดยรวมยังไม่ได้ยืดหยุ่นมากถึงขนาดที่สามารถปรับเปลี่ยนแท็กติกใดก็ได้
ตรงนี้คือสิ่งที่ต้องระวังมากขึ้นโดยเฉพาะในเกมที่เจอคู่แข่งเขี้ยวกว่านี้ นัดนี้รอดได้เพราะตัวแทนจากอาเซอร์ไบจานไม่ได้มีคุณภาพมากนักในเกมรุก
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะ 8 นัดรวดและ 2 นัดในยูโรปา ลีก ก็เป็นผลงานอันยอดเยี่ยมที่ต้องปรบมือให้ อูไน เอเมรี่ และลูกทีม
ครั้งสุดท้ายที่อาร์เซน่อลชนะได้ 8 นัดติดแบบนี้เกิดขึ้นในปลายฤดูกาล 2014/15 แต่ เอเมรี่ ทำได้สำเร็จใน 10 นัดแรกกับการทำงานในอังกฤษ
3 ประตูในวันนี้มีความพิเศษเพราะเป็นประตูแรกในสีเสื้อปืนใหญ่ของทั้ง โซคราตีส, สมิธ โรว์ และ เกวนดูซี่
โซคราตีส เป็นนักเตะคนแรกที่ไม่ได้เล่นในยุค อาร์แซน เวนเกอร์ แล้วยิงประตูให้อาร์เซน่อลได้ ก่อนหน้านี้ 20 ประตูของทีมล้วนมาจากนักเตะที่เคยร่วมงานกับอดีตกุนซือชาวฝรั่งเศสทั้งสิ้น
2 ประตูหลังมาจาก 2 ดาวรุ่งของทีมที่ถูกจับตามองมากที่สุดในยุคของ อูไน เอเมรี่
พอจะพูดได้เต็มปากแล้วว่ายุคใหม่ของอาร์เซน่อลเริ่มต้นเต็มตัวแล้วในตอนนี้
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT