เคล็ดลับเอเมรี่
การเข้ามาเปลี่ยนแปลงอาร์เซน่อลที่มีกุนซือเพียงคนเดียวตลอด 22 ปีไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสิ่งที่ อาร์แซน เวนเกอร์ สร้างเอาไว้หยั่งรากลึกจนกลายเป็นวัฒนธรรม
หลายสิ่งเป็นเรื่องดีและเคยทำให้อาร์เซน่อลประสบความสำเร็จอย่างมาก
แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่ถึงเวลาต้องเปลี่ยน ยุคสมัยเปลี่ยนไป วิธีการเดิมๆ ที่เคยได้ผลก็อาจไม่เวิร์กในตอนนี้
เวนเกอร์ อำลาไปแล้ว แต่สิ่งเหล่านี้ยังอยู่โดยเฉพาะผู้เล่นส่วนใหญ่ที่ยังเป็นมรกดตกถอดของกุนซือชาวฝรั่งเศส
2 นัดแรกที่พ่ายต่อแมนฯ ซิตี้ และ เชลซี ทำให้ อูไน เอเมรี่ เห็นถึงภารกิจของตัวเองชัดเจนยิ่งขึ้นว่ายากแน่นอน
เขาไม่รีบร้อนปรับทีมชนิดพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่เปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่บุ่มบ่าม เพราะต้องการการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ไม่ใช่วูบวาบเพียงชั่วคราว
อะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้อาร์เซน่อลพลิกจากความพ่ายแพ้ 2 นัดแรก กลายเป็นไล่ตามหลังทีมนำเพียง 2 คะแนนในตอนนี้ ?
1. การซ้อมที่เข้มข้น
อูไน เอเมรี่ ปรับการซ้อมให้หนักหน่วงมากขึ้นเพราะพื้นฐานการเล่นคือ เพรสซิ่งคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นความฟิตต้องถึง ช่วงแรกทำเอานักเตะหืดขึ้นคออย่างหนัก ก่อนค่อยๆ ปรับตัวได้
อดีตกุนซือปารีส แซงต์-แชร์กแมง ยังได้ติดตั้งโรงยิมกลางแจ้งข้างสนามฝึกซ้อมเพื่อให้นักเตะสามารถโยกไปใช้เครื่องออกกำลังกายต่างๆ ได้ทันทีโดยที่ระดับการทำงานของร่างกายกำลัง "พีค" และมีความต่อเนื่อง
อูไน เอเมรี่ เอาจริงเอาจังกับการซ้อมอย่างมาก
2. ซ้อมในเวลาเดียวกับแข่งจริง
เปลี่ยนช่วงเวลาการซ้อมเป็นช่วงบ่ายเพื่อให้นักเตะได้มีความคุ้นเคยกับช่วงเวลาแข่งจริงมากขึ้น รวมถึงการฝึกซ้อมในเวลากลางคืนสำหรับเกมกลางสัปดาห์
นอกจากนี้ได้เพิ่มโปรแกรมซ้อมที่สนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เพื่อให้นักเตะได้มีคุ้นเคยบรรยากาศการแข่งขันจริง
3. No Sugar
ห้ามเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลทุกอย่าง โดยในทีมสตาฟฟ์โค้ชของ เอเมรี่ ที่ดึงมาทำงานด้วยมีนักโภชนาการและผู้ที่รอบเชี่ยวชาญเรื่องน้ำในร่างกาย รวมถึงการรับอาหารเสริมต่างๆ และอาร์เซน่อลก็เป็นทีมแรกของโลกที่แจก Powdered water
ให้กับนักเตะ
นักเตะอาร์เซน่อลจะได้รับ Powdered water เป็นอาหารเสริม
4. การจัดการกับลูกทีม
เทียบกับ อาร์แซน เวนเกอร์ แล้ว อูไน เอเมรี่ มีความเฮี้ยบมากกว่าในการจัดการกับลูกทีม หากมีอะไรที่ต้องว่ากล่าวตักเตือนลูกทีมคนใด เขาก็จัดการต่อหน้าคนอื่นๆ อย่างตรงไปตรงมาและจริงใจ สิ่งนี้ไม่ใช่การหักหน้า แต่ให้ลูกทีมทุกคนรับรู้ร่วมกันและปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน
5. ไม่มีใครได้สิทธิพิเศษ
ปฏิบัติกับลูกทีมทุกคนอย่างเท่าเทียม กล้าเปลี่ยนผู้เล่นอย่าง เมซุต โอซิล หรือ อาร่อน แรมซี่ย์ ออกแต่เนิ่นๆ หากมองว่าเล่นไม่ได้ตามแท็กติกหรือมาตรฐานที่ต้องการ หรืออย่างเกมยูโรปา ลีก ที่เดินทางไกลราว 5,000 ไมล์ ไปเยือนคาราบักที่อาเซอร์ไบจาน โอซิล ก็ยังต้องไปกับทีม ไม่ได้รับสิทธิพิเศษใดๆ
เอเมรี่ ปฏิบัติกับ โอซิล เหมือนนักเตะคนอื่นในทีม
6. ศึกษาคู่แข่ง
นักเตะในทีมได้รับข้อมูลคู่แข่งมากขึ้นเพื่อได้เตรียมตัวและวางแผนรับมือ อูไน เอเมรี่ เน้นมากกับการศึกษาคู่แข่งไม่เว้นแม้กระทั่งทีมที่เล็กกว่า เขาจะบอกรายละเอียด จุดแข็ง จุดอ่อนของคู่แข่งในช่วงบิลด์อัพก่อนเกมทุกนัด ตรงนี้ต่างจาก เวนเกอร์ ที่เน้นการเล่นของทีมตัวเองเป็นหลักและประเมินคู่แข่งน้อยเกินไป
7. ความสัมพันธ์ที่ดี ส่งผลดีต่อผลงานในสนาม
กระตุ้นลูกทีมสานสัมพันธ์นอกสนามให้แน่นแฟ้นมากขึ้นเพราะเชื่อว่าช่วยให้ผลงานในสนามดีตามไปด้วย อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ เพิ่งออกมาให้สัมภาษณ์ว่าทำกิจกรรมนอกสนามกับ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง บ่อยมาก และทำให้มีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีและเข้าใจไลฟ์สไตล์ที่สะท้อนถึงวิธีการเล่นของกันและกัน
โอบาเมย็อง กับ ลากาแซตต์ เข้าขารู้ใจกันอย่างมาก
8. จิตวิทยาและแรงบันดาลใจ
เอเมรี่ เปิดเผยว่าการที่ส่ง มัตเตโอ เกวนดูซี่ ลงตัวจริงต่อเนื่องในช่วงแรกไม่ได้เป็นเพราะผลงานของกองกลางดาวรุ่งดีเยี่ยมอย่างเดียว หากแต่ต้องการแสดงให้นักเตะดาวรุ่งในทีมคนอื่นเห็นว่าพร้อมมอบโอกาสให้กับทุกคน
สิ่งนี้ช่วยอย่างมากในการสร้างแรงบันดาลใจเพราะใครต่อใครก็คิดว่า การเริ่มยุคใหม่ของอาร์เซน่อลคงเน้นที่ซื้อตัวเป็นหลักเพื่อใช้งานได้ทันที แต่เอเมรี่ไม่ได้เน้นการซื้ออย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับเยาวชนในทีมด้วย
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT