บิ๊กแมตช์ที่เดอะ บริดจ์
เป็นบิ๊กแมตช์ของ 2 ทีมที่คว้าแชมป์ลีกรวมกัน 18 จาก 26 ครั้งนับตั้งแต่ลีกสูงสุดของอังกฤษเปลี่ยนจาก "ดิวิชั่น 1" มาเป็น "พรีเมียร์ลีก"
โชเซ่ มูรินโญ่ ได้กลับมาเยือนถิ่นเก่าสแตมฟอร์ด บริดจ์ อีกครั้งซึ่งช่วงเวลากับเชลซีถือได้ว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดในอาชีพกุนซือด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ถึง 7 รายการใน 2 ช่วงที่คุมทีม
อย่างไรก็ตาม การมาเยือนเดอะ บริดจ์ของทั้ง มูรินโญ่ และแมนฯ ยูไนเต็ดในหลายปีหลังมีความทรงจำไม่ดีนัก
ปีศาจแดง ไม่เคยเก็บชัยชนะกลับออกไปได้เลยใน 8 นัดหลังสุด และหากนับเฉพาะยุคของ มูรินโญ่ ก็แพ้รวดตลอด 3 นัด นับสกอร์รวมได้ว่า "เชลซี 6 - แมนฯ ยูไนเต็ด 0"
ครั้งสุดท้ายที่พลพรรคผีแดงกำชัยที่เดอะ บริดจ์ ต้องย้อนไปในเดือนตุลาคมปี 2012 ที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พาทีมบุกชนะ 3-2 และนั่นก็คือชัยชนะนัดเดียวตลอด 16 ปีที่ถ้ำสิงห์
z
แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ชนะ เชลซี ที่เดอะ บริดจ์ 8 นัดหลังสุด
ขณะที่ เชลซี มีผลงานฤดูกาลนี้ยอดเยี่ยมด้วยการนำจ่าฝูงร่วมกับ แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ที่ 20 คะแนนเท่ากันจาก 8 นัด
เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เชลซี เก็บคะแนนได้มากกว่าเดิม 7 คะแนน และเป็นการออกสตาร์ตดีสุดนับจาก 4 ปีก่อนที่ มูรินโญ่ เคยพาทีมโดยแต้มนำฝูงยาวจนเข้าเส้นชัย
เมาริซิโอ ซาร์รี่ เข้ามาจูนทีมติดเครื่องได้เร็วเหลือเชื่อทั้งที่คุมทีมฤดูกาลแรก ข้อแตกต่างอีกอย่างคือ เชลซีครองบอลมากขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับฤดูกาลก่อนยุคของ อันโตนิโอ คอนเต้ และไม่มีทีมใดผ่านบอลสำเร็จในพื้นที่สุดท้ายได้มากเท่าเชลซีของซาร์รี่อีกแล้ว
ซาร์รี่ เข้ามายกระดับเชลซีได้ชัดเจน
ในทางกลับกัน แมนฯ ยูไนเต็ด มีผลงานสวนทางกับเชลซีโดยสิ้นเชิง ชัยชนะหืดจับนัดล่าสุดกับนิวคาสเซิ่ลคือชัยชนะนัดแรกใน 5 นัดหลังสุดจากทุกรายการ
หากวันนั้น ผีแดงพ่ายคารังโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อีกนัด ก็จะเป็นการออกสตาร์ตที่เลวร้ายที่สุดของทีมในยุคพรีเมียร์ลีกด้วยการมีเพียง 11 คะแนนจาก 8 นัด แย่กว่ายุคของทั้ง หลุยส์ ฟาน กัล และ เดวิด มอยส์
แต่พอฮึดกลับมาชนะได้เลยทำให้ทีมของ มูรินโญ่ ขยับมาอยู่ที่ 8 ของตาราง และตามหลังเชลซี 7 คะแนนซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ตัวเลขที่ไกลเกินเอื้อมมากนัก
นับตั้งแต่ย้ายมาคุมแมนฯ ยูไนเต็ด มูรินโญ่ มีผลงานแย่สุดในกลุ่ม "ท็อปซิกซ์" ด้วยกัน กุนซือโปรตุเกส พาทีมชนะได้เพียง 56 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ตอนคุมเชลซียุคแรก เก็บชัยชนะได้ถึง 71 เปอร์เซ็นต์
ผีแดงยุค มูรินโญ่ มีเปอร์เซ็นต์ชนะน้อยสุดในกลุ่มท็อปซิกซ์
ไม่เพียงฟอร์มการเล่นที่ต่างกันของสองทีม แต่เจาะไปรายบุคคลยิ่งน่าสนใจเพราะเรากำลังจะได้เห็นผลงานของนักเตะที่ร้อนแรงที่สุดในพรีเมียร์ลีกตอนนี้...เอแด็น อาซาร์
นอกจากนำดาวซัลโวที่ 7 ประตูแล้ว อาซาร์ ยังเป็นนักเตะคนแรกในฤดูกาลนี้ที่มีส่วนกับประตูถึง 10 ประตูเพราะแอสซิสต์ไปแล้ว 3 ครั้ง
ดาวเตะทีมชาติเบลเยียม ทำผลงานได้ดีขึ้นชัดเจนในยุคของ ซาร์รี่ ด้วยตัวเลขยิงประตูหรือแอสซิสต์ทุกๆ 58 นาที ดีสุดนับตั้งแต่ค้าแข้งจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังเปลี่ยนโอกาสเป็นสกอร์ได้เฉียบคมกว่าเดิม รวมถึงมีค่าเฉลี่ย 90 นาทีในการสัมผัสบอลและลุ้นยิงมากขึ้น
หากสามารถรักษาระดับการเล่นแบบนี้ต่อไป อาซาร์ จะยิงได้ 33 ประตูและอีก 14 แอสซิสต์ในฤดูกาลนี้ซึ่งจะกลายเป็นสถิติใหม่กับการมีส่วนร่วมในประตูมากที่สุด
อาซาร์ ร้อนแรงมากในช่วงออกสตาร์ตฤดูกาลนี้
ในขณะที่เจ้าของเบอร์ 10 เชลซี กำลังอยู่ในช่วงมั่นใจ เพื่อนร่วมทีมชาติเบลเยียมของทางฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด กลับมีผลงานต่างออกไป
โรเมลู ลูกากู ทำประตูไม่ได้เลยตลอด 6 นัดหลังสุดในทุกรายการ และฤดูกาลนี้ก็ยิงได้น้อยกว่าการเล่นให้ทีมชาติเสียอีก (4 ประตู : 5 ประตู)
ในการกลับมาเยือนเดอะ บริดจ์ อีกราย ลูกากู จึงคาดหวังในตัวเองไม่น้อยว่าจะหยุดช่วงปืนฝืดกับผีแดงลงได้เสียที ทว่าสถิติชี้ชัดไม่ใช่เรื่องง่าย
หัวหอกร่างใหญ่ ยิงประตูที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไม่ได้มานานเกินกว่า 11 ชั่วโมงแล้วตลอด 12 นัดหลังสุดซึ่งเป็นการเล่นให้เชลซี 8 นัด และอีก 4 นัดในฐานะนักเตะคู่แข่ง
ลูกากู ไม่เคยยิงประตูที่เดอะ บริดจ์ ได้เลย
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT